

.เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด ยืนยันตรงกัน จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยสูงต่อหรือขึ้นดอกเบี้ยอีกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
.นักลงทุนกังวลอัตราดอกเบี้ยสูงยาวนาน จะกระทบต่อต้นทุน ผลประกอบการบริษัทและเศรษฐกิจโดยรวม
.ผลโพลชี้นักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางระยะสั้นตลาดหุ้นวอลล์สตรีทต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 33,793.55 จุด ลดลง 170.29 จุด หรือ 0.50% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 4,308.91 จุด ลดลง 11.15 จุด หรือ 0.26% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส อยู่ที่ 13,177.42 จุด ลดลง 34.39 จุด หรือ 0.26%
นักลงทุนยังคงขายหุ้นลดความเสี่ยง เนื่องจากยังกังวลผลกระทบจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นเวลานานเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเฟดสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นดอกเบี้ยระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี
ทั้งนี้ ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (dot plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ และส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2567 จากเดิมที่เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีหน้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่คาดไว้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นางมิเชล โบว์แมน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ “ดิฉันยังคงคาดว่าเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายในเวลาที่เหมาะสม และข้อมูลเศรษฐกิจที่มีอยู่ขณะนี้บ่งชี้ว่า การใช้นโยบายการเงินอาจยังไม่เพียงพอในการสกัดให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
การให้สัมภาษณ์ของนางโบว์แมนเป็นไปในทิศทางเดียวกับนางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟด สาขาบอสตัน ซึ่งกล่าว สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป “ข้อมูลเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังคงเร็วเกินไปที่เฟดจะประกาศชัยชนะ ดิฉันคิดว่าเฟดควรที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงและนานกว่าที่คาดไว้ และเฟดไม่ควรตัดทางเลือกในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ โดยเจ้าหน้าที่เฟดควรเตรียมพร้อมในการบรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมาย”
ตลาดกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีขณะเดียวกัน นักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ในวันที่ 1 ต.ค. หากสภาคองเกรสยังคงไม่มีความคืบหน้าในการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันที่ 30 ก.ย.
สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า จำนวนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางในระยะสั้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่นักลงทุนที่คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวนลดลง 3.1% สู่ระดับ 31.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. และเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 37.5% เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 สัปดาห์
ส่วนนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลงในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5.4% สู่ระดับ 34.6% โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 31.0% เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 สัปดาห์นอกจากนี้ นักลงทุนที่คาดว่าตลาดหุ้นจะทรงตัวในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวนลดลง 2.3% สู่ระดับ 34.1% โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 31.5% เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 สัปดาห์