

- วงการโรงแรมไทยแนะเจ้าของและนักลงทุน เร่งปลดสลักธุรกิจลับลวงพลางปี’66 ด่วน 4 เรื่อง
- ชี้เป้าจัดทัพใหม่ระบบจองห้องพักดิจิทัลรับมือตลาด F.I.T. พ่วงทำตลาดแบบ New Normal
- หาวิธีฝ่าปัญหาอาชีพบริการกำลังเจอวิกฤตหนัก “ขาดหัวหน้างาน-แรงงาน-ผู้บริหาร”
นางสุกัญญา จันทร์ชู ที่ปรึกษาธุรกิจโรงแรมไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมโรงแรมหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนโรงแรมต่างต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ สิ่งสำคัญสุดจะต้องวางแผนให้ทันการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากเพราะมีเครื่องมือใหม่คือ “ดิจิทัลออนไลน์” ทำให้ “พฤติกรรมของตลาดหรือนักเดินทาง” ทั้งในประเทศและทั่วโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เรื่องที่ 1 “การจองที่พัก/booking” ปัจจุบันจองเข้าพักกระชั้นในเวลาสั้นมาก เพียง 1-2 วันเท่านั้น ถือเป็นความท้าทายอย่างมากในการบริหารที่พักของโรงแรมในเมืองไทย แตกต่างจากอดีตจองล่วงหน้าก่อนเดินทางเข้ามาไทยหรือ on hand มีเวลาค่อนข้างประมาณ 60-90 วัน และช้าที่สุด 5-10 วัน เปรียบเทียบก่อนสถานการณ์โควิด-19 เคยบริหารกันอย่างไรก็จะนำรูปแบบเดิมกลับมาใช้ทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการโอเปเรชั่นที่พัก การฝึกทักษะคนทำงาน

โดยเฉพาะการกำหนดสัดส่วนคนบริการกับห้องพัก เช่น ตั้งเป้าอัตราเข้าพักกับคนไว้เท่ากันซึ่งจะเกิด 80% ผลกระทบกับต้นทุนค่าใช้จ่ายและรายได้แต่ละเดือนอย่างแน่นอน
เรื่องที่ 2 แต่ละกลุ่มตลาดเป้าหมาย/Segment จะเดินทางมาแบบเดี่ยว ๆ โดยลำพัง (F.I.T.) ต่างจากเดิมจะมาเป็นกลุ่มคณะ (G.I.T.) ซึ่งผู้บริหารโรงแรมจะต้องทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ใหม่ของตลาดภาพรวม ถึงแม้ขณะนี้จะมีสัญญาณที่ดีจากปริมาณนักท่องเที่ยวออกเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังอั้นอัดไม่ได้เที่ยวช่วงโควิดมานานกว่า 3 ปีจึงส่งผลทำให้โรงแรมในเมืองไทยซึ่งเคยตระหนักถึงการปรับตัวตาม “New Normal หรือวิถีใหม่” เริ่มจะหายไป
เพราะตอนนี้พอมีอัตราเข้าพัก (OR -Occupacy rate) เพิ่มขึ้นรวดเร็ว จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด ๆ ว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะเติบโตดีเหมือนอดีต จึงทำการตลาดแบบเดิม ๆ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทำให้โรงแรมกลับมาบาดเจ็บใหม่ได้อีกครั้งเนื่องจากธุรกิจอาจไม่ได้เป็นช่วงขาขึ้นได้ตลอดอีกต่อไป จะต้องใช้ทีมงานวิเคราะห์ประมวลผลอย่างแม่นยำ
เรื่องที่ 3 วิธีทำตลาดการขายที่พักโรงแรมในยุคดิจิทัล ขณะนี้ยังไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ระหว่างผู้ขายกับผู้ต้องการซื้อ จะเห็น “ตลาดจะผันผวนตามสถานการณ์” อยู่ตลอดตอนนี้เป็นยุคดิจิทัลการจองที่พักคาดการณ์ค่อนข้างยาก ดังนั้นผู้บริหารจึงต้องเข้าไปดูเรื่อง 1.แผนปฏิบัติการทำงาน 2.ต้นทุนค่าจ้างแรงงาน 3.ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในโรงแรม เช่น วัตถุดิบอาหาร
ปี 2566 นักการตลาดควรจะไปนำตัวเลขสถานการณ์จริงปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 มาเปรียบเทียบให้ชัดเจนทั้งเรื่อง อัตราการเข้าพักโรงแรมของตนเอง กับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะมีทั้งดีขึ้นและต่ำลงได้
เรื่องที่ 4 บุคลากรบริการในโรงแรมขาดแคลนทุกระดับ ตั้งแต่แม่บ้าน ไปจนถึงผู้บริหาร ซึ่งตามปกติในเมืองไทย“อายุเฉลี่ยคนที่เข้ามาทำอาชีพบริการ” จะประมาณ 35-45 ปี เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการใช้ “แรงงาน” ค่อนข้างมาก ซึ่งช่วงเกิดโควิด-19 คนวัยเหล่านี้ได้ออกจากระบบงานไปเกือบ 100 % พากันกลับไปทำอาชีพใหม่ผ่านไป 3 ปีพอสถานการณ์กลับสู่ปกติแรงงานเหล่านี้อาจจะยังมีไฟอยู่แต่เมื่อออกไปแล้วทั้งกลุ่มใช้แรงงานและบริหาร จึงจะต้องรอเวลาอีกไม่น้อยกว่า 2 ปี หากจะดึงคนที่มีทักษะบริการกลับเข้าสู่ตลาดอาชีพเดิม

ปี 2566 โรงแรมขาดแคลนมากที่สุดคือ “หัวหน้างาน” ซึ่งต้องสั่งสมประสบการณ์ทำงาน ผ่านการฝึกอบรมมาจากหลายแผนกกว่าจะมีความรู้ความเข้าใจระบบการทำงานของโรงแรมแต่ละแห่ง ดังนั้นเจ้าของกิจการกับผู้บริหารยุคนี้จะต้องหาวิธีทำอย่างไรเพื่อผลักดันพนักงานปัจจุบันในองค์กรให้มีทักษะพร้อมขึ้นมาเป็นหัวหน้างานต่อไป
ส่วนระดับ “แรงงานทั่วไป” ทางโรงแรมพอจะมีทางออกด้วยวิธี “จับมือกับสถาบันการศึกษา” ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำ เพื่อดึงนักเรียน นักศึกษา เข้ามาทำงานสร้างสมประสบการณ์ สร้างความมั่นใจให้เยาวชนที่ตั้งใจทำงานโรงแรมแล้วจะเกิดความปลอดภัย มั่นใจทั้งสองฝ่ายด้วย ปัจจุบันยังมีกำแพงความคิดอยู่ตรงโรงแรมจะมองเด็กเหล่านี้ไม่สู้งาน ดังนั้นจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองเข้ามาพิสูจน์ความสามารถบ้าง