กรมการค้าต่างประเทศชวนใช้สิทธิประโยชน์ “อาร์เซป”



  • ส่งออก นำเข้า ขยายการค้า ลงทุนไปยังประเทศสมาชิก
  • หลัง 2 มิ.ย.66 บังคับใช้กับ 15 สมาชิกอย่างเต็มรูปแบบ
  • ชี้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าง่ายขึ้น ลดความยุ่งยากวางแผนผลิต

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.66 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซป) มีผลใช้บังคับกับสมาชิกครบทั้ง 15 ประเทศอย่างเต็มรูปแบบแล้ว หลังจากฟิลิปปินส์ เป็นประเทศสุดท้ายที่ให้สัตยาบัน กรมการค้าต่างประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (ซี/โอ) ขอเชิญชวนผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้อาร์เซป เพื่อนำเข้า ส่งออก ขยายการค้า การลงทุนของไทย ไปยังสมาชิก คือ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะใช้ประโยชน์จากกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่ง่ายขึ้น

“แม้ว่าผู้ประกอบการเลือกใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อื่น ส่งออกไปสมาชิกอาร์เซปได้ แต่ขอเชิญชวนให้เลือกใช้สิทธิประโยชน์จากอาร์เซป เพราะมีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋อง ที่ผ่อนปรนมากกว่าเอฟทีเออื่น โดยอนุญาตให้นำปลา ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญมาจากประเทศใดก็ได้ แม้กระทั่งนอกภาคี (ไม่ได้เป็นสมาชิกอาร์เซป) มาผลิตแล้วส่งออกโดยขอใช้สิทธิประโยชน์ได้ รวมถึงยังนำวัตถุดิบที่ได้ถิ่นกำเนิดสินค้าจากสมาชิก มาสะสมเป็นวัตถุดิบของไทย เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในการลดภาษีนำเข้าจากประเทศปลายทางได้ อีกทั้งยังช่วยลดความยุ่งยากของการวางแผนการผลิต เพราะสมาชิกทั้งหมดใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าเดียวกัน”

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์อาร์เซป มี 2 รูปแบบ คือ การขอฟอร์ม อาร์เซป ที่กรมการค้าต่างประเทศ และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง โดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง การขึ้นทะเบียนและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค พ.ศ. 2564 เพื่อให้สามารถขอรับฟอร์ม อาร์เซป และนำไปใช้ลดภาษีนำเข้าที่ประเทศปลายทาง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนทางการค้า และสร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลกได้เป็นอย่างมาก หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วนกกรม โทร. 1385 หรือแอปพลิเคชันไลน์ “@gsp_helper”

ทั้งนี้ อาร์เซป มีผลบังคับใช้กับสมาชิก 13 ประเทศ คือ บรูไน กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเมียนมา และเพิ่มเป็น 14 ประเทศวันที่ 2 ม.ค.66 หลังอินโดนีเซียให้สัตยาบัน และล่าสุดฟิลิปปินส์ มีผลเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.66 โดยช่วง 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) ปีนี้ ไทยใช้สิทธิประโยชน์ 1,299 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่ขอใช้สิทธิส่งออกมากที่สุด เช่น น้ำมันหล่อลื่น 642 ล้านเหรียญฯ ปลาทูน่ากระป๋อง 155 ล้านเหรีญฯ มันสำปะหลังเส้น 85 ล้านเหรียญฯ ทุเรียนสด 51 ล้านเหรียญฯ เป็นต้น