
- ททท.ชี้เป้าครึ่งปีหลัง 2566 แอร์ไลน์ “จีน” เพิ่มบินเข้าไทยอื้อ430เที่ยว/สัปดาห์ เริ่ม มิ.ย.66 ขานรับทัวร์คุณภาพ5 ตลาดใหญ่
- “เที่ยวยกครัวขนาดใหญ่” กับคนพันธุ์ดิจิทัล มิเลนเนียลGen Y&Z 22 พ.ค.นี้ ดึง KOL 90 คน ผู้นำกระแสโซเชียล
- ร่วมตอกย้ำความปลอดภัยในไทย ปลื้มทัวร์เอเชียตะวันออกโตเกินเป้า 5 ตลาด จีน เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน มองโกเลีย
นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้ประเมินสถานการณ์แนวโน้มตลาดที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ปี 2562 เดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากที่สุด 11.2 ล้านคน ล่าสุดมีข่าวดีจะมีสายการบินจีนเพิ่มความถี่เที่ยวบินตรง ไป–กลับ สาธารณรัฐประชาชนจีน–ไทย เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 เป็นต้นไป ขยับเป็น 430 เที่ยว/สัปดาห์ จากปัจจุบัน 100 เที่ยว/สัปดาห์ เพิ่มขึ้นกว่า 300 เที่ยว/สัปดาห์ เนื่องจากสามารถการรองรับภาคพื้นดินทั่วประเทศได้มากขึ้นหลังเปิดประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงเป้าหมายชัดเจนขึ้นปีนี้ต้องได้ 5.3 ล้านคน

ข้อมูล 4 เดือนแรก เมื่อจีนเดินทางออกต่างประเทศเริ่ม 8 มกราคม– 30 เมษายน 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยแล้ว843,920 คน ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ยอดรวม 5 เดือน จะแตะ 1 ล้านคน ส่งผลถึงแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2566 นักท่องเที่ยวจะกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะ ททท.ทุกสำนักงานเร่งทำการตลาดเต็มที่ เห็นกระแสตอบรับการเดินทางชัดช่วงวันหยุดแรงงานจีนเมื่อ 1-4 พฤษภาคมมาไทยเฉลี่ยวันละ 15,000-20,000 คน หลังจากนี้จะเริ่มเป็นนอกฤดูจึงมีกลุ่มไมซ์นักเดินทางจัดประชุมสัมมนาและกรุ๊ปอินเซนทีฟเข้ามาแทนนักท่องเที่ยวทั่วไป (leisure)
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน –กันยายน นี้ ช่วงประมาณ 2 เดือนครึ่ง จีนจะเริ่มเข้าสู่ฤดูเดินทางอีกครั้งเป็นตลาดกำลังซื้อสูง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เทรนด์ใหม่คือลูก ๆ พาพ่อแม่เที่ยว กลุ่มที่ 2 ครอบครัวใหญ่ พ่อ–แม่–ลูก–ปู่–ย่า–ตา–ยาย เดินทางด้วยกัน ดังนั้นช่วงหน้าร้อนของจีนตรงกับหน้าฝนของไทย และ 1-8 ตุลาคม นี้ จะมีโอกาสเพิ่มได้สูงสุดต้อนรับช่วงหยุดฉลองวันชาติจีน จากนั้นเดือนธันวาคมจีนจะหนีอากาศหนาวมาเที่ยวเมืองร้อนอย่างไทย
ผอ.ชูวิทย์ กล่าวว่า ททท.มีเครื่องมือที่จะใช้ส่งเสริมตลาดจีนเจาะตรงถึงแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ของนักเดินทางซึ่งเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 มิลเลนเนียล คนรุ่นใหม่ และ Gen I, Z ที่เกิดมาพร้อมกับยุคดิจิทัล/ไอแพด อายุน้อย นิยมเดินทางท่องเที่ยวถี่มากขึ้น ชอบค้นหาข้อมูลแล้วออกเดินทางหาประสบการณ์แปลกใหม่ เพราะที่ผ่านมาตอนเกิดโควิด-19 กลุ่มนี้อยู่กับโลกเสมือนจริงในโลกดิจิทัล พอเปิดประเทศจึงกระหายที่ท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ
ดังนั้น ททท.จะใช้เครื่องมือหลักคือ “โซเชียล มีเดีย” กับ KOL :Key Operation Leader ผู้นำทางความคิด มาสร้างกระแสการเดินทาง เพราะตลาดมิลเลนเนียลจีนเป็นกลุ่มสำคัญต่อการท่องเที่ยวไทย เตรียมนำเสนอเป็น Experience base แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป แต่จะปรับโฉมสู่การท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ เช่น โมเดิร์น ฟรุ้งฟริ้ง รูฟท็อปบาร์ไนท์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นสถานที่ใหม่ ๆ เพราะพฤติกรรมของนักเดินทางจีนกลุ่มนี้จะไม่ยอมตกเทรนด์เด็ดขาด เช่น จะต้องไปถ่ายรูปแชะแล้วแชร์ในสถานที่ที่คนอื่นยังไม่เคยไป และการแต่งตัวตามแฟชั่นจะต้องเด่นชัดเพื่อถ่ายรูปโพสต์แชร์ให้คนได้เห็นอย่างกว้างขวาง
และวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ททท.ในจีน 5 สำนักงาน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว คุนหมิง เฉินตู เตรียมเชิญ KOL จากจีน 90 คน เดินทางมาร่วมเวทีใหญ่ กับ ททท.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จับมือกัน นำเสนอภาพใหญ่ให้เห็นถึง“ความปลอดภัยจีนเที่ยวเมืองไทย” เนื่องจากคนจีนส่วนใหญ่ดูข้อมูลเกือบทั้งหมดผ่านสื่อดิจิทัล จึงทำให้เกิดกระแสเชิงลบเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น และเชิงบวกเรื่องดี ซึ่งขึ้นอยู่กับการนำเสนอของไทยด้วย จึงต้องระวังการแชร์บนโซเชียลมีเดีย เพราะการแชร์ 1 ครั้ง จะขยายอย่างรวดเร็วถึงคนชม 10 ล้านครั้ง /นาที
ดังนั้นการให้หน่วยราชการเป็นองค์กรที่ออกมายืนยันเรื่องความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวจีนเชื่อถือระบบราชการอย่างมากจะได้เกิดความเชื่อมั่นและพึงพอใจ เมื่อได้รับรู้ข่าวสารโดยตรงเรื่องความปลอดภัยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่าน KOL จีนจะได้นำข่าวสารไปกระจายให้คนทั่วประเทศรับรู้ต่อไป

กลุ่มที่ 2 กรุ๊ปทัวร์/เดินทางเป็นหมู่คณะ แต่ด้วยสภาพปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจในจีนยังต้องการฟื้นฟูจึงมีงบประมาณส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย ดังนั้น ททท.จะต้องทำงานหนักมากขึ้นด้วยการหาจุดขายให้แตกต่างจากในจีน เช่น แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลธรรมชาติสวยงามมาก ๆ ชายหาดขาวเนียนละเอียด อัธยาศรัยคนไทย รองรับตลาดกลุ่มทัวร์จีนสูงวัย
กลุ่มที่ 3 การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ระบบรางรถไฟฟ้าความเร็วสูง จะขยายฐานตลาดจีนทางใต้ นั่งรถไฟจากคุนหมิงผ่าน สสป.ลาว เข้าสู่ภาคอีสานของไทย เปิดโลกใหม่ให้ธุรกิจในอีสานร่วมขายสินค้าท่องเที่ยวพลังซอฟท์ เพาเวอร์ได้แก่ 1.Food-อาหารอีสาน 2.การท่องเที่ยวเชิงศรัทธา สายมูเตลู เพราะคนจีนมีความเชื่อเรื่องโชคลาภ เพื่อเสริมสิริมงคลให้ตัวเองและอาชีพค้าขาย จึงสามารถเจาะตลาดได้หลายกลุ่มทั้ง คนรุ่นใหม่ในจีนที่ชอบไลฟ์ขายของออนไลน์กลุ่มที่ชื่นชอบค้นหาประสบการณ์แปลกใหม่ แฟชั่นสินค้าผ้าไหม ซึ่ง ททท.จะช่วยปรับปรุงพัฒนาคุณภาพสินค้าควบคู่กับไปด้วย
ผอ.ชูวิทย์ย้ำถึง ททท.พร้อมจะบูรณาการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนและขอฝากให้หันมาทำหน้าที่ “เจ้าบ้านที่ดี” สร้างคุณภาพทั้งสินค้าท่องเที่ยว บริการรถสาธารณะแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก โดยมอบสิ่งที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยว ขณะที่การลงตราวีซ่าจีนตอนนี้พยายามเร่งแก้ไขให้ดีขึ้นตามลำดับ รองรับนักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ หากไทยพร้อมใจกันขายของดีบริการดี คนจีนก็อยากจะมาเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ดีผลตอบรับก็จะไปถูกขยายในทางไม่ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงควรช่วยกันคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไปโดยเร็วที่สุด

ขณะที่ตลาดเอเชียอื่น ๆ ช่วง มกราคม–เมษายน 4 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เกาหลี เข้ามาไทยตั้งแต่โควิดยังไม่จบทำให้ช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ทำได้ 5.6 แสนคน จากเป้าหมายตั้งไว้ 1.1 ล้านคน อันดับ 2 ฮ่องกง เพิ่งเปิดตอนพฤศจิกายน2565 ตอนนี้เข้ามาแล้ว 2.5 แสนคน จากเป้า 1 ล้านคน แต่มีโอกาสทำได้อย่างแน่นอน เพราะเดินทางด้วยความถี่สูงมาทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ อันดับ 3 ไต้หวัน มาแล้วเกินกว่าครึ่งคือ 2 แสนคน จากเป้า 4 แสนคน อันดับ 4 มองโกเลียเป็นตลาดเดียวนโลกช่วงโควิดก็มาเที่ยวมาตลอด มีประชากรน้อยเพียง 2 ล้านคน มีเศรษฐีอยู่ประมาณ 10 % แต่สามารถท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เติบโตเร็วมาก ช่วงตารางบินฤดูร้อนมาแน่นทุกเที่ยวบินแล้วมุ่งตรงไปยังแหล่งท่องเที่ยวทะเลเท่านั้น กับกลุ่มเดินทางมารักษาพยาบาลจะมากรุงเทพฯ บ้างบางส่วนเท่านั้น
ทั้งนี้ ททท.ภูมิภาคเอเชียตะวันออกทุกตลาด จีน เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ล้วนแล้วแต่ใช้โซเชียล มีเดีย และดิจิทัลเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นหากเมืองไทยทำในสิ่งที่ไม่ดี หรือทำสิ่งที่ดี ทุกเรื่องจะถูกเสนอผ่านช่องทางดังกล่าวแล้วแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั้งบวกและลบ จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายช่วยกันทำเรื่องดี ๆ สร้างความประทับแก่นักท่องเที่ยวเพื่อนำการท่องเที่ยวมาสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไป
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน#gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen










