“อนุทิน” ร่วม 4 กระทรวง เคาะแผนรับทัวร์จีน 5 มาตรการ 4 เรื่อง ธุรกิจเมืองท่องเที่ยวภาคใต้ ภาคเหนือตื่นปรับบริการใหม่ทันควัน



  • รองนายกฯ อนุทิน ร่วม 4 กระทรวง เคาะแล้วแผนรับทัวร์จีน เตรียมควง รมว.พิพัฒน์ รับเที่ยวบินปฐมฤกษ์กรุ๊ปแรกที่สุวรรณภูมิ 9 ม.ค.66
  • นำร่องใช้ 5 มาตรการ “ฉีดวัคซีนก่อน2เข็ม/ซื้อประกันสุขภาพโควิด/พักอยู่ไทยต้องใส่หน้ากาก/ป่วยต้องพบแพทย์/คัดกรองโรคก่อนกลับประเทศ
  • พร้อมเกาะติด 4 เรื่อง ดันท่องเที่ยวฉลุยปี’66 ธุรกิจภาคใต้ ภาคเหนือ ตื่นปรับบริการเด้งรับตลาดทันที

นายอนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 เรื่องมาตรการเตรียมรับนักท่องเที่ยวจีน ตามนโยบายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมกัน 4 กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงต่างประเทศ ได้ข้อสรุปตรงกันควรปฏิบัติตามแนวทางโรคติดต่อต้องเฝ้าระวังโดยไม่กีดกันทุกประเทศรวมทั้งจีนด้วย โดยกำหนดให้มีแผนติดตามประเมินสถานการณ์ไตรมาส 1 ปี 2566 เพื่อปรับมาตรการตามความเสี่ยงซึ่งสามารถลดหลั่นได้ตามเหมาะสมของสถานการณ์ และจะเดินทางไปติดตามสถานการณ์จริงยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเมื่อมผู้โดยสารจากเซี่ยงไฮ้มากับเที่ยวบินปฐมฤกษ์วันที่ 9 มกราคม 2566

สำหรับความเห็นชอบในที่ประชุมเตรียมความพร้อมรับมือนักท่องเที่ยวจีนของ 4 กระทรวง เบื้องต้นสรุปได้ 5 มาตรการ พร้อมเฝ้าระวังเพิ่ม 4 เรื่อง ดังนี้

มาตรการที่ 1 ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศจะต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 2 เข็ม หากเกิดมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ควรเลื่อนการเดินทางและรักษาโรคให้หายก่อน เพื่อลดการแพร่เชื้อโรค

มาตรการที่ 2 ต้องซื้อประกันสุขภาพการเดินทางโดยครอบคลุมการตรวจรักษาโรคโควิด-19 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหากตรวจพบเชื้อหรือป่วย

มาตรการที่ 3 ขณะพำนักอยู่ในประเทศ แนะนำให้นักท่องเที่ยวต้องป้องกันตนเองตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองไทยด้วยการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ รถขนส่งสาธารณะ ต้องล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจคัดกรองด้วย ATK และหากป่วยรุนแรงจะต้องเข้าตรวจรักษาที่สถานพยาบาลทันที

มาตรการที่ 4 กรณีเดินทางออกจากประเทศไทยและประเทศปลายทาง มีนโยบายให้ตรวจคัดกรองก่อนเข้าประเทศโดยแนะนำให้โรงแรมที่ให้บริการห้องพัก ต้องนำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA+ กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 กับนักท่องเที่ยวจีน โดยมีสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานห้องปฏิบัติการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์คอยดูแล

มาตรการที่ 5 ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการตามจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมเปิด Hospitel กับโรงพยาบาล ไว้รองรับผู้ที่มีผลตรวจพบเชื้อโควิด-19 และขอ “ผู้ให้บริการท่องเที่ยว” ทุกคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกับคมนาคม เพื่อความปลอดภัยขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ครบ 4 เข็ม เพราะหากได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ก็อาจจะเป็นกลุ่มเสี่ยงได้

นายอนุทินย้ำว่า วางแผนเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้เพิ่มอีก 4 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 ตั้งทีมติดตามและประเมินผลสถานการณ์รับนักท่องเที่ยวเข้าไทยไตรมาสแรกปี 2566 อย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ปรับมาตรการรองรับได้ทันเหตุการณ์ตามความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เช่น อัตราการติดเชื้อสูง หรือพบเชื้อกลายพันธุ์ โดยจะเฝ้าระวังกลุ่มนักเดินทางจากต่างประเทศที่มีอาการทางเดินหายใจ

เรื่องที่ 2 จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์โรคและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีของผู้เดินทางต่างประเทศ

เรื่องที่ 3 เพิ่มกลไกการรายงานสถานการณ์ผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค เน้นติดตามจำนวนนักท่องเที่ยวและผลการตรวจคัดกรองผู้ที่มีการป่วยซึ่งตรวจพบที่สนามบิน

เรื่องที่ 4 เฝ้าระวังและตรวจเชื้อโควิด-19 ในน้ำเสียจากเครื่องบิน เพื่อดูแลป้องกันทุกช่องทางอย่างรัดกุม

ทุกมาตรการข้างต้นจะสื่อสารถึงนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางต่างประเทศเข้าไทย เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ และให้ความร่วมมือกับประเทศไทยลดความเสี่ยงแพร่โรคโควิด-19 เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยเดินหน้าได้อย่างราบรื่นต่อไป

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับนายอนุทินและกระทรวงเกี่ยวข้อง พร้อมคาดการณ์จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทยไตรมาสแรกประมาณ 300,000 คน จำนวนจะเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลตรุษจีน 2566 เริ่มจากเดือนมกราคม 60,000 คน กุมภาพันธ์ 90,000 คน และมีนาคม150,000 คน ส่วนเที่ยวบินปฐมฤกษ์จะเริ่มมาถึงไทยวันที่ 9 มกราคม 2566 จากกรุงเซี่ยงไฮ้ แล้วจากนั้นสายการบินโลว์คอสต์ของไทยและจีนจะขอ Slot หรือตารางเวลาบินเข้าออกระหว่างไทย-จีน แต่ตอนนี้มีปัญหาเรื่อง“ขาดแคลนแรงงานภาคบริการ” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะให้บริการนักท่องเที่ยวจีนและต่างชาติที่กลับเที่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ต้องร่วมกับเอกชนหาวิธีแก้ไขให้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวตามจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ๆ ตื่นตัวปรับปรุงสถานที่ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม สถานบันเทิง พร้อมรับนักท่องเที่ยวจีน

เริ่มจากภาคใต้ “จังหวัดภูเก็ต” เตรียมเปิดถนนคนเดินย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพิ่มป้ายข้อความสื่อสารด้วยภาษาจีน กับเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการสวมหน้ากากอนามัย ป้องกันสุขอนามัยและโรคติดต่อด้วย

“จังหวัดพังงา” เร่งปรับปรุงบริเวณท่าเรืออ่าวพังงา บรรดาเจ้าของเรือท่องเที่ยวกว่า 20 ลำ ลงทุนซื้อเสื้อชูชีพ 200 ตัวและซ่อมบำรุงรถบริการนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีความเคลื่อนไหวจากบริษัททัวร์จีนประสานเข้ามาว่า ช่วงมกราคมนี้กลุ่มแรกจะมีคนจีนเดินทางมาเยี่ยมญาติหลั่งไหลเข้มาก่อน แล้วจากนั้นเดือนมีนาคม-เมษายน นี้ จึงจะมีนักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ามาเพิ่มมากขึ้น

“จังหวัดกระบี่” ผู้ประกอบการท่องเที่ยวรวมตัวกันเตรียมพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะท่าเทียบเรือท่องเที่ยวทางทะเลเรือทุกลำช่วยกันรณรงค์จัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัยมาไว้ประจำเรือ ปรับคลองจิราดให้สวยงาม ส่วน “สนามบินนานาชาติกระบี่” หน่วยงานเกี่ยวข้องได้กำชับต้องมีพนักงานบริการสัมภาระกระเป๋าผู้โดยสารเพียงพอ พร้อมกับได้ปรับถนนและไฟฟ้าส่องสว่าง

ทางด้าน ททท.สำนักงานกระบี่ ยืนยันปี 2562 มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมเยือนกระบี่รวมทั้งหมด 6.7 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 1.5 แสนคน ส่วนปี 2565 มีจีนเพียง 2,000 คน เนื่องจากปีก่อนจีนยังไม่ได้เปิดประเทศ

“จังหวัดตรัง” บรรยากาศภายในอำเภอเมือง บรรดาผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านขายเค้กตรัง ยืนยันว่าช่วงเทศกาลปีใหม่นักท่องเที่ยวตอบรับการท่องเที่ยวตรังดีมากทำยอดขายเพิ่มได้ถึง 70 % จึงมั่นใจช่วงวันหยุดสงกรานต์ปี2566 จะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นอีก และโดยภาพรวมหากมีนักท่องเที่ยวจีนมาตรังก็จะส่งผลดีด้วยเช่นกัน

ส่วนภาคเหนือ “จังหวัดเชียงใหม่” บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศคึกคักมาตั้งแต่ช่วงหยุดปีใหม่29 ธันวาคม 2565-2มกราคม 2566 ตามอุทยานแห่งชาติ และแหล่งท่องเที่ยวดอยต่าง ๆ คึกคักมากทำรายได้กว่า1,481 ล้านบาท

ขณะนี้ทางจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกันจัดแคมเปญ “หนาวนี้ชาวเมืองใหม่ร่วมใจฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น” รณรงค์ให้ผู้ประกอบการสำรวจจำนวนเพื่อนำพนักงานภาคบริการด้านการท่องเที่ยวเข้ามาฉีดวัคซีนก่อนรับนักท่องเที่ยวจีนและนานาชาติ เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของทุกภาคส่วน ทำให้ท่องเที่ยวเมืองไทยปี 2566 เดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่นทำได้ตามเป้ารวมไม่น้อยกว่า 2.38 ล้านล้านบาท

เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen