

- ททท.พลิกแผนปี’66โกยเงินตลาดไกลข้ามทวีปเข้าไทยพุ่ง 40%
- งัดกลยุทธ์ใหม่ A-B-C “แอร์ไลน์โฟกัส-บิ๊กซิตี้แอนด์บียอนด์-เคลื่อนตลาดด้วยข้อมูลเชิงลึก”
- ปลุก 10 สำนักงาน ปลดล็อก 3 ปัจจัย “ที่นั่งเที่ยวบิน-อัตราบรรทุกผู้โดยสาร-เพิ่มยอดใช้เงิน 80,000บาท/คน/ทริป”
- แอร์แคนาดาเปิดประวัติศาสตร์ใหม่เข้าไทย 3 ธ.ค.65 กระตุ้น “ตะวันออกกลาง”เที่ยวไทยทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ปี 2566 วางกลยุทธ์เพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (longhaul) 4 ทวีปยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา โดยมี ททท. 10 สำนักงาน ดูแลเตรียมใช้แผน A-B-C เพิ่มรายได้ท่องเที่ยวเข้าประเทศ 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องแรก ทำภาพรวมกระตุ้นตลาดระยะไกลและระยะกลางเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แทนการเที่ยวตามฤดูเฉพาะตารางบินหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว เท่านั้น เรื่องที่ 2เพิ่มรายได้ 35-40 % และจำนวนนักท่องเที่ยว 30%

ขณะนี้มีนโยบายให้ ททท.ตลาดระยะไกลทั้ง 4 ทวีป เดินหน้าทำตลาดปี 2566 ตามแผนกลยุทธ์ใหม่ A-B-C ประกอบด้วย A : Airlines Focus กลยุทธ์การประสานความร่วมมือกับทุกสายการบินทั่วโลก เพิ่มเที่ยวบินตรง ไป-กลับ จากประเทศต้นทางเข้าไทยให้ได้มากที่สุด B :Big Cities and Beyond โหมการขายท่องเที่ยวเมืองใหญ่พ่วงเมืองรองทั้งตลาดเป้าหมายเดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทย และ C : Collaboration Data การทำงานด้วยข้อมูลเชิงลึกเพื่อชิงความได้เปรียบที่จะนำเข้าตลาดท่องเที่ยวคุณภาพเข้าไทย
โดยใช้หัวหอกซึ่งจะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้ได้มากที่สุดด้วยกลยุทธ์การทำ “Airlines Focus” เร่งลงมือทำให้สัมฤทธิ์ผลภายใต้ตัวแปรใหญ่ 3 ปัจจัย คือ

ปัจจัยที่ 1 ร่วมมือกับสายการบินหลักเร่งกลับมาเปิดบินบริการตามเส้นทางปกติให้ได้มากที่สุด ทั้งจากเมืองต้นทางและจำนวนเที่ยวบินตรงใกล้ด้วยจำนวนเที่ยวบินใกล้เคียงกับก่อนเกิดโควิด-19 ล่าสุด ททท.ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบ“การขอเวลาทำการบินหรือ Slot” ช่วงตารางบินฤดูหนาวปลายเดือนตุลาคม 2565 พบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปริมาณที่นั่งและเที่ยวบิน จากต้นทางเข้าสู่ไทย แต่ละตลาดระยะไกลมีดังนี้
“ตลาดยุโรป” ตอนนี้หลายเมืองยังไม่มีเที่ยวบินกลับมาบินตรง ผู้โดยสารต้องใช้วิธีเดินทางโดยต่อเครื่องที่สนามบินในแถบประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งจะต้องรอเวลาต่อเครื่องเข้าไทยประมาณ 8 ชั่วโมง จึงไม่เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงวัยซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของไทย
ขณะที่สายการบินในตะวันออกกกลางพยายามช่วยไทยทำตลาดท่องเที่ยวต่อเนื่องมาตั้งแต่ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ แต่สิ้นปี 2565 เป็นจังหวะที่ประเทศกาตาร์ต้องเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ดังนั้นสายการบินขนาดใหญ่ในตะวันออกกลางจึงหันไปเปิดบินตรงจากทั่วโลกเข้ากาตาร์ก่อนเป็นหลัก ส่งผลกระทบทำให้ตลาดท่องเที่ยวยุโรปขาดแคลนทั้งเที่ยวบินและที่นั่งเข้าเมืองไทย

ททท.ต้องวางแผนการตลาดให้ถูกเป้า นั่นคือเตรียมทางออกหันไปพึ่ง “สายการบินกลุ่มประเทศแถบเอเชีย” บินจากยุโรปเข้าเอเชียแล้วต่อเครื่องเข้าเมืองไทย เช่น สิงคโปร์แอร์ไลน์ส อีวาแอร์(ไต้หวัน) และสายการบินอื่น ๆ
“ตลาดแคนาดา” ได้เห็นปรากฏการณ์ชัดเจนแล้ว เมื่อ “แอร์ แคนาดา” พร้อมเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็นครั้งแรกเพราะไม่เคยบินมาไทยเลย ครั้งนี้ประกาศเปิด บินตรง ไป-กลับ แบบไม่หยุดแวะพัก หรือ Non Stop แวนคูเวอร์(แคนาดา)-กรุงเทพฯ(สุวรรณภูมิ) ด้วยเที่ยวบินปฐมฤกษ์ 3 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป โดยวางแผนบินเพียง 6 เดือนแรกเท่านั้น
โดย ททท.กับแอร์ แคนาดา จับมือกันทำโครงการ “Thailand and The Air” เข้าไปช่วยส่งเสริมตลาดการขายเพิ่มอัตราบรรทุกเฉลี่ยผู้โดยสารให้สายการบินคุ้มทุนดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแรง เพื่อวางแผนบินตรงแบบประจำต่อไป
“ตลาดอเมริกา” ททท.กำลังหารือกับ “เดลต้าแอร์ไลน์ส” จะนำผู้โดยสารจากเมืองรองมารวมศูนย์ในเมืองใหญ่เป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ Big Cities & Beyond แล้วจับมือกับ “โคเรียน แอร์ไลน์ส” ของเกาหลีขนถ่ายคนเพื่อบินตรงจากอเมริกา แวะพักกรุงโซล (เกาหลีใต้) แล้วจึงบินตรงเข้าไทย
ส่วน “ตลาดแอฟริกา” ขณะนี้ยังไม่มีสายการบินหลัก ๆ กลับมาบินปกติ เช่น เคนยาแอร์เวย์ส จึงต้องเพิ่มความพยายามต่อไป
ปัจจัยที่ 2 อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) ททท.กับสายการบินจะต้องร่วมมือกันทำได้ตามเป้าหมาย เพราะจะส่งผลกระทบกับในระยะยาว ดังนั้น สำนักงานททท.ทั้ง 4 ทวีป 10 สำนักงานจะต้องทำข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อหาช่องทางเติมอัตราการบรรทุกผู้โดยสารให้แต่ละสายการบิน เพื่อเพิ่มตลาดระยะไกลเข้าเมืองไทยให้ได้มากที่สุด
ปัจจัยที่ 3 เร่งนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลเพิ่มค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางมาพักผ่อนอยู่ในไทย ททท.ตั้งเป้าปี 2566 จะต้องเพิ่มเป็น 70,000-80,000 บาท/คน//ทริป ต่างจากช่วงก่อนโควิดเมื่อปี 2562 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เงินอยู่ในไทยลดไปเรื่อย ๆ เฉลี่ยคนละ 47,000 บาท/คน//ทริป ยกเว้นช่วงเปิดแซนด์บ็อกถือเป็นกรณีพิเศษที่นักท่องเที่ยวโดยรวมเมื่อเข้ามาแล้วจะต้องพักค้างอยู่ไทยนานกว่าปกติ กระทั่งสถานการณ์ผ่อนคลายเปิดประเทศแล้วใช้เงินเฉลี่ยขยับขึ้นเป็น 70,000 บาท/คน/วัน

นายศิริปกรณ์ กล่าวว่า ททท.จะใช้สูตรกับนักท่องเที่ยวเน้น “3 เพิ่ม” 1.เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว 2.ใช้จ่ายเงินต่อคนต่อวัน ด้วยการหากิจกรรมใหม่มาขาย 3.เพิ่มวันพักเฉลี่ย ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยเพราะเดือนตุลาคมนี้เข้าสู่ฤดูหนาวตลาดระยะไกลแห่หนีหนาวบินมาเที่ยวเมืองไทย แต่ก็มีตัวแปรคือ “ต้นทุนสูงขึ้น” อันเป็นผลมาจากราคาพลังงานทั้งค่าตั๋วเครื่องบินแพง รวมถึงการอาศัยอยู่ในบ้านค่าครองชีพก็สูงกว่าไทยมาก
เมื่อเปรียบเทียบการจองวันพักเฉลี่ยหลังโควิด-19 สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทย ประกาศ “ขยายวีซ่าพิเศษให้ต่างชาติทั่วโลก” พำนักในไทยได้นานวันขึ้น จึงได้เห็นความชัดเจนแล้วขณะนี้นักท่องเที่ยวทวีปไกลเริ่มจองพักในไทยนานถึง 40 วัน/คน/ทริป
นอกจากนี้ ททท.ยังพร้อมเดินหน้าขยายตลาดกลุ่มประเทศใหม่ตามนโยบาย รมว.พิพัฒน์ รัชกิจประการ พื้นที่หลักประเทศแถบรอยต่อเอเชีย-ยุโรป 1.ประเทศชื่อลงท้ายด้วยสถาน เช่น คาซัคสถาน และอีกหลายประเทศ ตอนนี้ แอร์อัสตรานาเริ่มกลับมาบินบ้างแล้ว ซึ่งจะทำให้ประเทศรอบข้างเข้ามาภูเก็ตและเมืองไทยได้ด้วย 2.อิสราเอล ทางสายการบินแอลอัลแอร์ไลน์ส เริ่มบินตั้งแต่ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ บริการ 3.ซาอุดิอาระเบีย กำลังมาแรงมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าตามเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้มาเที่ยวเมืองไทยได้ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือ Weekend Destination เพิ่มรายได้อีกมหาศาลกระจายสู่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วไทย
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่งใยสามเสน#gurutourza,www.facebook.com/penroongyaisamsaen