พาณิชย์เผยธุรกิจให้เช่ายานยนต์ฟื้นตัวต่อเนื่อง



  • ครึ่งปีแรกมีธุรกิจตั้งใหม่ 76 ราย เพิ่ม 40.74%
  • หลังรัฐ-เอกชนหันเช่ารถแทนซื้อลดภาระค่าใช้จ่าย
  • ขณะที่คนทั่วไปนำรถยนต์ส่วนตัวมาร่วมให้เช่าด้วย

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) ปีนี้ ธุรกิจดังกล่าวมีการจัดตั้งใหม่ 76 ราย เพิ่มขึ้น 40.74% เทียบช่วงเดียวกันปี 64 ที่จัดตั้งใหม่ 54 ราย มีทุนจดทะเบียน 132.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 64 ที่มีทุนจดทะเบียน129.50 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่มีต่อธุรกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น และคึกคักเพิ่มขึ้น

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจดังกล่าว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มาจากบริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจปรับเปลี่ยนรูปแบบการครอบครองรถยนต์ จากการซื้อเป็นการเช่ารถยนต์ เพื่อใช้ในสำนักงาน เป็นการลดภาระทางการเงินในการซื้อรถยนต์ และลดภาระในการซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ

นอกจากนี้ ยังมีการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระต่างๆ หันมาเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อใช้ในงานรับส่งพัสดุสิ่งของ หรือผู้โดยสาร เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และไม่ต้องกังวลเรื่องการบำรุงรักษา สอดคล้องกับจำนวนสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าที่ช่วง 6 เดือน (ก.ย.64-มี.ค.65) เพิ่มขึ้น 14% หรือมีกว่า 944 สถานี ทั่วประเทศ

ประกอบกับ บริษัทรถยนต์ให้เช่า ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่มีรถยนต์ นำรถยนต์ส่วนตัวมาให้เช่าเป็นรายวันโดยบริษัทจะเก็บค่าคอมมิชชันจำนวนหนึ่ง และติดตามรถยนต์ของตนเองบนแอปพลิเคชันที่จัดทำขึ้น และมีประกันภัยรถยนต์ เพื่อสร้างความสบายใจให้กับเจ้าของรถยนต์ที่มาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท

นายสินิตย์ กล่าวต่อว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 มีธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น2,045 ราย คิดเป็น 0.24% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ มูลค่าทุน 23,239.85 ล้านบาท คิดเป็น 0.11% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่

สำหรับภาพรวมการลงทุนในธุรกิจนี้ ไทยครองแชมป์อันดับ 1 มูลค่าทุน 18,878.20 ล้านบาท คิดเป็น 81.23% ตามด้วยญี่ปุ่น ทุน 3,963.18 ล้านบาท คิดเป็น 17.05% รัสเซีย ทุน 69.55 ล้านบาท คิดเป็น 0.30% ฝรั่งเศส ทุน 56.14 ล้านบาท คิดเป็น 0.24% และสัญชาติอื่น ๆ ทุน 272.78 ล้านบาท คิดเป็น 1.17% โดยธุรกิจมีรายได้เฉลี่ย 46,500 ล้านบาทต่อปี โดยปี 62 มีรายได้ 55,398.50 ล้านบาท ปี 63 อยู่ที่ 44,101.63 ล้านบาท ลดลง 20% และ ปี 64 อยู่ที่ 39,991.03 ล้านบาท ลดลง 9% ขณะที่มีกำไรเฉลี่ย 3,230 ล้านบาทต่อปี โดยปี 62 มีกำไรรวม 5,534.46 ล้านบาท ปี63 กำไร 2,507.14 ล้านบาท ลดลง 55% และ ปี 64 กำไร 1,651.57 ล้านบาท ลดลง 34%