
- เตรียมบรรจุในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้า
- หวังให้สมาชิกเจรจาให้สำเร็จตามเป้าหมาย
- ”จุรินทร์”มั่นใจสมาชิกแม้มีคู่ข้ดแย้งแต่ไม่คัดค้านแน่
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยในการสัมมนาขับเคลื่อนการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย- แปซิฟิก (FTAAP) ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีการค้ากลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก เอ็มอาร์ที) ว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา FTAAP ยังขับเคลื่อนได้ไม่เร็วนัก แม้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพเอเปก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ปุตราจายาว่า สมาชิกจะเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน และตั้งเป้าหมายเจรจาให้สำเร็จในปี 2583 แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้เริ่มอย่างจริงจริง แต่ไทยในฐานะเจ้าภาพเอเปกในปีนี้ ได้ประกาศขับเคลื่อนการจัดทำความตกลง และจะบรรจุไว้ในแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีการค้าเอเปก โดยจะร่วมกับสมาชิก พยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถทำให้การเจรจาสำเร็จเร็วกว่าเป้าหมาย
“ถ้า FTAAP สำเร็จ จะเป็นประโยชน์กับสมาชิกทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจมาก เพราะจะช่วยขยายการค้า การลงทุน จากการที่ภาษีนำเข้าระหว่างกันจะลดเป็น 0% มีการเปิดตลาดการค้าสินค้าและบริการมากขึ้น ลดอุปสรรค และอำนวยความสะดวกทางการค้า การลงทุน มากขึ้น มั่นใจว่า FTAAP จะได้รับการสนับสนันจากสมาชิกทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ แม้ระหว่างสมาชิก จะมีคู่ขัดแย้งกันอยู่ แต่ทุกเขตเศรษฐกิจ จะมองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในอนาคต”

นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า เอฟทีเอ จะช่วยให้เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ฟื้นตัวได้ในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ เพราะจะมีการลดอุปสรรคทางการค้า กำหนดกฎระเบียบเป็นมาตรฐานเดียวกันระหว่างสมาชิก ทำให้การค้า การลงทุนสะดวกมากขึ้น และขยายตัวมากขึ้น สมาชิกสามารถลดต้นทุนด้านการผลิต การค้า การขนส่ง เพราะเลือกใช้ปัจจัยการผลิต และวัตถุดิบราคาถูกจากสมาชิก อีกทั้งยังเลือกใช้แรงงานได้อีก ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ และยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากประเทศต่างๆ ได้ ที่สำคัญในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจของภูมิภาคกำลังฟื้นตัว เป็นโอกาสที่เอเปกจะผลักดันให้เกิดเอฟทีเอโดยเร็ว
“แต่ยังมีความท้าทายของการจรจา คือ ระดับการพัฒนาของ 21 เขตเศรษฐกิจต่างกัน เพราะสมาชิกมีทั้งประเทศพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา ขนาดเศรษฐกิจมีทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ ความได้เปรียบ เสียเปรียบต่างกัน จึงอาจทำให้การเจรจามีความยากลำบาก”
นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ซ้ำเติมด้วยวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร การค้าเสรีจึงถือเป็นตัวช่วยให้การค้า การลงทุนโลกขยายตัว ซึ่งการผลักดันให้เกิด FTAAP สิ่งที่ควรต้องคำนึงถึง คือ 1. การปลดล็อคแนวคิดการกีดกันทางการค้า เพื่อดูแลผลประโยชน์ของตัวเอง 2. อี-คอมเมิร์ซ ที่มีบทบาททางการค้ามากขึ้น และ 3. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งมาเร็วและแรง แต่ในเอเชียยังไม่ให้ความสนใจมากนัก ทั้งที่เชื่อมโยงกับการค้ามากขึ้น
นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวว่าภาคประชาชนต้องการเห็นความตกลงที่มีความยืดหยุ่นภายใต้โลกที่ซับซ้อนรุนแรงขึ้น ไม่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไปจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและก้าวหน้าภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) ที่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป ทำให้สมาชิกไม่ทำตามความตกลง และเกิดการฟ้องร้องกันแล้วเช่น นิวซีแลนด์ฟ้องร้องแคนาดา ไม่เปิดตลาดนมให้ตามข้อผูกพัน นอกจากนี้ ยังต้องการเห็นความตกลง ที่คำนึงถึงประชาชน คำนึงถึงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับประชาชน เช่น การเข้าถึงยา ความมั่นคงทางอาหาร คำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน และต้องการให้สมาชิกเห็นอกเห็นใจกัน เพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน










