

- ชี้เป็นการกำหนดขั้นตอน มาตรฐานให้เกิดประสิทธิภาพ เกิดการใช้งบให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ย้ำหากมีอาการฉุกเฉินวิกฤตจากโควิด ยังใช้สิทธิ์ UCEP รักษาทุกที่ได้
- เผยล่าสุดกรมแผนไทย ชงเพิ่มยาฟ้าทะลายโจร ดูแลติดเชื้อไม่มีอาการเข้า HI/CI
- ลั่นเช็คกับ ปลัด สธ.ทุกเช้า ยันระบบสาธารณสุขยังแกร่ง ให้การดูแลได้ เตียงมีพร้อม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับโรคโควิด-19 ไปสู่การรักษาตามสิทธิ์ว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้โรคโควิด-19 รักษาตามสิทธิ์ ตามที่ นพ.ธเรศ กรัษรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้นำเสนอขึ้นมา โดยจะมีผลเริ่มวันที่ 1 มี.ค.นี้ และได้กำชับให้อธิบดี สบส.ไปชี้แจงให้สาธารณชนรับทราบว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ์ หรือยกเลิก แต่เป็นการกำหนดขั้นตอนและมาตรฐานให้เกิดประสิทธิภาพ เกิดการใช้งบประมาณได้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้หากมีอาการฉุกเฉินวิกฤต ยังสามารถใช้สิทธิ์ UCEP รักษาทุกที่ได้ ส่วนอาการฉุกเฉินใช้ UCEP Plus ซึ่งจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนออกมา แต่ในทางปฏิบัติคิดว่าไม่มีปัญหาเรื่องการให้บริการ
“การกำหนดคำจำกัดความอะไรต่างๆ เป็นเรื่องปฏิบัติภายในกระทรวง แต่เรื่องการให้บริการประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ ทุกอย่างเป็นไปตามสิทธิ์ที่มี และเป็นสิทธิ์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นการจัดระเบียบ ไม่ใช่ยกเลิกเพราะอย่างไรก็ดูแล แต่ดูแลตามลักษณะอาการ” นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้เมื่อถามว่าตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 โควิด-19 จะไม่ใช่โรคฉุกเฉิน ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คำจำกัดความคือโรคที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลตามสิทธิ์หลักประกันสุขภาพของประชาชนแต่ละคน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านแรกๆ อาจมีประชาชนไปโรงพยาบาล (รพ.) ที่ไม่ได้อยู่ตามสิทธิ์ของตนเอง จะมีการรองรับดูแลอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราเริ่มประชาสัมพันธ์เรื่องนี้มา 1 เดือนแล้ว ถ้ามีอาการรุนแรง ส่วนใหญ่ถ้าเป็นโรคอื่นด้วยและโควิด-19 มาซ้ำ มีอาการรุนแรงก็ใช้สิทธิ์ฉุกเฉินได้ คือ UCEP Plus แต่หากไม่มีอาการอะไรเลย แล้วอยากไปเข้า รพ. โดยเฉพาะ รพ.เอกชน ก็เหมือนโรคอื่นๆ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เราก็ต้องปรับสภาพให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุดกับพี่น้องประชาชนและภาครัฐ เรื่องงบประมาณต่างๆ
นอกจากนี้เมื่อถามว่า มีความจำเป็นต้องปรับมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเฉพาะรายพื้นที่ นายอนุทิน กล่าวว่าเรื่องพื้นที่เป็นเรื่องของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด รวมถึงผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเรื่องยาต่างๆ เราพร้อมสนับสนุนเต็มที่ซึ่งวันนี้ทางกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ก็มาเสนอขอให้ตนเห็นชอบว่า ขณะนี้มีความจำเป็นต้องเพิ่มยาฟ้าทะลายโจรมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโควิด- 19 ที่ไม่แสดงอาการเลย ถ้ารับยาฟาวิพิราเวียร์ไปก็เหมือนกับเกินขนาน ซึ่งฟ้าทะลายโจรสร้างภูมิคุ้มกัน ส่วนฟาวิพิราเวียร์เป็นยาฆ่าไวรัส ถ้าผู้ติดเชื้อไม่มีอาการหลายกรณีจะใช้ฟ้าทะลายโจร
“อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ขอให้สาธารณสุขเพิ่มปริมาณยาฟ้าทะลายโจรเข้ามา ก็เป็นหลักหลายสิบล้านเม็ดซึ่งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) มีอยู่แล้ว ถือเป็นการสนับสนุนยาไทยและผู้ผลิตไทย ซึ่งผมขออย่างเดียวยาฟ้าทะลายโจรไม่ให้นำเข้า เราเน้นสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศไทยให้มากที่สุด ส่วนการนำไปใช้ก็เป็นการจ่ายตามสิทธิ์ในถุงแพคเกจของ HI/CI นี่คือเหตุที่เราต้องใช้เทเลเมดิซีน แพทย์ดูอาการอย่างนี้ให้ฟ้าทะลายโจรหรือขนานไหน ถ้าอาการมากหน่อยก็ให้ฟาวิพิราเวียร์ มากกว่านี้ก็เข้า รพ. เป็นต้น ซึ่งก็ปฏิบัติมาอยู่ แต่บางทีเกิดเหตุขลุกขลักขึ้นมา 5-10 เคสจากใน 20,000 เคส จะเอามาบอกว่าทั้งระบบล่มก็ไม่ใช่ แต่เราก็มีการแก้ไขในจุดนี้” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวยังถามต่อด้วยว่า การเตือนภัยโควิด-19 ยังคงไว้ที่ระดับ 4 ใช่หรือไม่ ต้องยกเป็นระดับ 5 หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ยัง ตรงนี้เป็นอำนาจของ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
อีกทั้งยังถามต่อว่า จะมีการเสนอ ศบค.ปรับมาตรการ Test&Go โดยลดการตรวจ RT-PCR ครั้งเดียวหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้มีการพิจารณากันอยู่ ซึ่งมีข้อมูลมาว่าไม่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น ไม่ได้มีประโยชน์หรือมีประสิทธิภาพระหว่างการทำหรือไม่ทำก็ไม่ต่างกันเท่าไร
โดยการทำ RT-PCR เป็นการเพิ่มภาระของผู้เดินทาง เพราะไม่ได้ใช้งบประมาณรัฐ แต่เพิ่มภาระผู้เดินทางต้องเสียค่าRT-PCR เกือบพันบาท และมีค่าบวกต่างๆ ของ รพ. และโรงแรม และต้องจองไปโรงแรม เป็นการเพิ่มภาระและขั้นตอน ตอนนี้ที่ได้รับการร้องเรียนมาคือประกันสุขภาพจะกำหนดอย่างไร ยิ่งกำหนดมากเบี้ยประกันก็สูงมากก็เป็นภาระเราก็รับฟังทุกเรื่องและพยายามที่จะเร่งแก้ไข
อย่างไรก็ตาม ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสถานการณ์เตียงไอซียูขณะนี้เริ่มเต็ม ไม่เพียงพอแล้ว จริงหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตนได้เช็คกับปลัดสาธารณสุขทุกเช้า โดยท่านยังยืนยันว่า ระบบการสาธารณสุขยังสามารถให้การดูแลได้ต้องไปดูเรื่องประเภทของคนป่วย HI/CI เรามีกติกากำหนดไว้ว่า จะดูจากอาการของผู้ป่วย ว่าระดับไหนจะได้รับการดูแลอย่างไร ถ้าคนที่ไม่แสดงอาการก็อยู่ HI/CI ซึ่งกรณีแยกกักไม่ได้ที่บ้าน เรามี CI ต้องผ่านเป็นขั้นตอนก่อน ทางกทม. ก็ยืนยันกับ สธ.ว่า HI/CI เขาพร้อม กทม.มีเตียง CI พร้อม ก่อนไปถึงฮอสปิเทล เรายังเตรียม รพ.สนาม อย่างรพ.ปิยะเวท จะเอาอุปกรณ์ฉุกเฉินต่างๆ ของ รพ.สนามปิยะเวทที่ตั้งอยู่ 200-300 เตียงมามอบให้ สธ. เราก็ขอให้คงรพ.สนามไว้ก่อน
นอกจากนี้ทาง ปตท.ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก ตนเองก็ได้หารือไป ปตท.ก็ยินดีคง รพ.สนามไว้ ที่ก็ยังไม่เต็ม อาจจะมีการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน อย่างเมื่อช่วงเช้าก็ได้ประสานกับ สปสช.ให้เพิ่มคู่สายที่จะรับลงทะเบียนจดแจ้งผู้ป่วย และดำเนินการตามมาตรการ นอมรับว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้