

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (14 ก.พ.65) สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่องเสียงสะท้อนของประชาชนต่อกรณีปมร้อน รถไฟฟ้าสายสีเขียว กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพในเขตกรุงเทพมหานครและผู้พักอาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว จำนวน 1,032 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 11–13 ก.พ.2565 พบว่า ส่วนใหญ่หรือ75.9% ได้ใช้บริการรถไฟฟ้าในการเดินทางประจำวันในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือผู้ที่เคยใช้บริการส่วนใหญ่ หรือ 92.7% พอใจต่อเรื่องความปลอดภัย บริเวณของสถานีและการเดินรถไฟฟ้า
รองลงมาคือส่วนใหญ่หรือ 92.3% พอใจต่อการให้บริการ สถานีและการเดินรถไฟฟ้า และส่วนใหญ่หรือ 69.7% ระบุราคาค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้นตามระยะทาง มีความสมเหตุสมผล นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือ 95.5% ระบุ การให้บริการเดินรถ ควรให้บริการยาว ไร้รอยต่อ ไม่ต้อง ขึ้นลงต่อขบวนรถ ตลอดสาย
ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือ 93.8% ระบุ มีความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับ ธุรกิจรถไฟฟ้า สายสีต่างๆและการแสวงหาผลประโยชน์ของ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ในหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้อง 93.7% ระบุ ปัญหาขัดแย้งในคณะรัฐมนตรี เรื่องสัปทาน รถไฟฟ้าสายสีเขียว น่าเคลือบแคลงสงสัย ผลประโยชน์การเมืองระหว่าง กระทรวงคมนาคม กับบริษัทเอกชน และ 93.7% เช่นกัน ระบุ ปัญหาขัดแย้งการต่อสัปทานให้บริษัทเอกชน เกิดขึ้นจาก ความขัดแย้งผลประโยชน์ทางการเมืองในรถไฟฟ้าสายสีอื่น และ 89.7% ระบุ กรุงเทพมหานคร ต้องชำระหนี้สินที่ค้างจ่ายให้บริษัทเอกชน
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือ 93.6% ต้องการให้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าฯ กทม. แสดงวิสัยทัศน์ แก้ปัญหาขัดแย้งธุรกิจ การเมือง รถไฟฟ้าสายสีเขียว เช่น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นาย สุวัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง นางสาวรสนา โตสิตะกูล เป็นต้น ในขณะที่ 6.4% ไม่ต้องการ
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า เสียงสะท้อนของประชาชนคนในกรุงเทพมหานครที่ใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับความขัดกันของผลประโยชน์ธุรกิจและการเมืองในปมร้อนรถไฟฟ้าสายสีเขียวและชี้ให้เห็นความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐและการเมือง ที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนเฉพาะกลุ่มพรรคพวกของตนเองมากกว่าผลประโยชน์และความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
นอกจากนี้ จากการศึกษาเพิ่มเติมพบปมร้อนความขัดแย้งและความล่าช้าในการต่อสัปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยสำคัญอย่างน้อย 4 ด้านด้วยกันคือ ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างบริษัทเอกชนกับการประมูลธุรกิจการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มกระทบการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประการที่สอง การต่อรองในผลประโยชน์ทางธุรกิจการเมือง และช่องว่างเชิงนโยบายในธุรกิจเดินรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ประการที่สาม ได้แก่ ข้อกฎหมาย อาจเกิดความผิดในหลายมิติ และประการที่สี่เป็นเรื่อง อื่น ๆ เช่น กรุงเทพมหานครที่ต้องชำระหนี้สินให้กับบริษัทเอกชน การลงทุน การขาดทุนในการลงทุนของหน่วยงานรัฐที่สุดท้ายต้องไปพึ่งพางบประมาณจากส่วนกลาง และความเหลื่อมล้ำในธุรกิจเดินรถไฟฟ้าระหว่างบริษัทเอกชนที่ได้ประโยชน์ และผลประโยชน์ที่เจ้าหน้าที่รัฐได้จากช่องว่างเชิงนโยบาย และการบำรุงรักษาระหว่างที่รอธุรกิจเดินรถ (Care of Work) ปีละเป็นพันล้านบาท เคยเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว เป็นต้น
“เหล่านี้คือกลุ่มก้อนต้นตอความขัดแย้งปมร้อนผลประโยชน์ธุรกิจการเมือง อำนาจรัฐ กฎหมาย และช่องว่างเชิงนโยบาย ที่ต้องหาคำตอบว่าเป็นจริงมากน้อยเพียงไร ตัวละครที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ภาคเอกชน และนักการเมืองคนใดพรรคการเมืองใดบ้างเกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันรักษาผลประโยชน์ชาติและให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในราคาที่เป็นธรรม บนหลักธรรมาภิบาลของการบริหารบ้านเมืองที่ดีของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองที่ดี” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าว