

- วาเลนไทน์เหลือแค่ 2 พันล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 15 ปี
- ส่วนมาฆบูชาค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกันต่ำสุดในรอบ 7 ปี
- ห่วงปัญหาเด็กเพิ่มทั้งโสเภณีเด็ก-มีเซ็กส์ก่อนวัยอันควร
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมใช้จ่ายวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ.65 ที่สำรวจจากประชาชน 1,245 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 2-8 ก.พ.65 ว่า คาดจะมีมูลค่าการใช้จ่าย 2,068 ล้านบาท ลดลง 19.20% จากปีก่อนที่มูลค่า 2,560 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าต่ำสุดในรอบ 15 ปีนับตั้งแต่ที่เริ่มสำรวจมา โดยคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่ 1,176 บาท จากปีก่อนที่เฉลี่ย1,306 บาท
ทั้งนี้สาเหตุที่มูลค่าการใช้จ่ายลดลง เพราะผู้ตอบส่วนใหญ่กว่า 51% มองว่าบรรยากาศวาเลนไทน์ปีนี้คึกคักน้อยกว่าปีก่อน เพราะเศรษฐกิจแย่ลง ราคาสินค้าแพงขึ้น การแพร่ระบาดโควิด-19 รายได้ลดลง ความกังวลเรื่องความปลอดภัย และตกงาน นอกจากนี้ ผู้ตอบ 83% เตรียมฉลองกับคู่รักในที่พัก หรือในบ้านแทนการออกนอกบ้าน จึงลดการใช้จ่ายลง

นอกจากนี้ ในการสำรวจภาคสังคม คือ นักเรียน นักศึกษา มีความน่ากังวล เพราะผลสำรวจพบว่า จะมีเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ โดยใช้โรงแรมและม่านรูด อีกทั้งกลุ่มวัยรุ่นและคนเริ่มทำงาน ระบุการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในปัจจุบัน และคนมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานมีจำนวนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ตอบ 47.6% ระบุว่า ยอมรับได้หากสามี/ภรรยาเคยมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน โดยกลุ่มที่ยอมรับได้มากที่สุดคือ กลุ่มวัยรุ่นเจนซี ตามด้วยเจนวาย และเจนเอ็กซ์ ขณะที่อีก 52.4% ยอมรับไม่ได้ โดยกลุ่มที่ยอมรับไม่ได้มากที่สุดคือ เจนเอ็กซ์ ตามด้วยเจนวาย และเจนซี
นอกจากนี้ ผู้ตอบจำนวนมาก ยังมองว่า ปัจจุบัน ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องโสเภณีเด็ก การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ติดยาเสพติด เด็กเร่ร่อน พ่อ-แม่ไม่มีวุฒิภาวะในการเลี้ยงดู ขาดศีลธรรม การยกพวกตีกัน มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ใส่ถุงยางอนามัย) การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน การคลอดแล้วทิ้งการล่วงละเมิดทางเพศของคนใกล้ชิด และล่อลวงทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรเร่งเข้ามาดูแลเพื่อไม่เป็นปัญหาสังคมที่รุนแรงในอนาคต
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ยังได้สำรวจการใช้จ่ายเงินในเทศกาลวันมาฆบูชา 16 ก.พ.65 พบว่า ประชาชนระบุจะใช้จ่ายลดลง เพราะปัญหารายได้ วิตกต่อเศรษฐกิจ การเมือง และการแพร่ระบาดของโอมิครอน รวมถึงเป็นวันหยุดกลางสัปดาห์ คาดเงินสะพัด 1,900-2,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 2,321 ล้านบาท หรือมูลค่าต่ำสุดในรอบ 7 ปีนับจากเริ่มสำรวจมา
“สำรวจใช้จ่ายตามเทศกาลเป็นไปในทิศทางเดียวกับก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปีใหม่ ตรุษจีน เพราะคนกังวลข้าวของแพงห่วงการจ้างงานและรายได้ในอนาคต ทำให้ระมัดระวังใช้จ่าย รวมกับกังวลกับโอมิครอน ที่มีคนติดเชื้อรายวันสูงขึ้นเกิน 10,000 คนต่อวัน อาจทำให้รัฐใช้มาตรการเข้มขึ้นอีกครั้ง และอาจกระทบต่อกิจกรรมปกติ การจ้างงานชะงัก แม้ตอนนี้อัตราว่างงานอยู่ที่ 2% ยังไม่น่าวิตก แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรงขึ้น การจ้างงานและรายได้ในอนาคตจะได้รับผลกระทบ” นายธนวรรธน์ กล่าว