

- เหตุของแพง-ราคาน้ำมันพุ่ง-การเมืองป่วน-โอมิครอน
- คาดเดือน ก.พ.65 ยังดิ่งต่อเหตุปัจจัยเสี่ยงยังคงเดิม
- จี้รัฐคุมค่าครองชีพ-ลุยคนละครึ่งเฟส 5 ให้มากกว่า 1.5 พัน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิบการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนม.ค. 65 ลดลงทุกรายการ โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภค อยู่ที่ 44.8 ลดลงจาก 46.2 ในเดือนธ.ค.64 ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และความเชื่อมั่นหอการค้า ที่สำรวจจากสมาชิกหอการค้าไทย อยู่ที่ 37.2 ลดลงจาก 37.8 ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เพราะความกังวลการแพร่ระบาดของโอมิครอน , การยกเลิกเทสต์แอนด์โก ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง , ผลกระทบจากราคาน้ำมัน วัตถุดิบและราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและครึ่งแรกของปีนี้ มีโอกาสสูงถึง 3% ได้ รวมถึงเริ่มการเมืองมีเสถียรภาพลดลง เพิ่มแรงกดดันให้ประชาชนระมัดระวังใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 38.7, 41.4 และ 54.4 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงทุกรายการเมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.64 ซึ่งการที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ หรือระดับ 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสหางานทำ และรายได้ในอนาคตอย่างมาก เพราะความกังวลในวิกฤตโควิด ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคไม่แน่นอนสูง
“ถ้าให้ประเมินทิศทางความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนก.พ. มีแนวโน้มลดลงอีก จากปัจจัยหลักๆ คือ รื่องของแพง โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการ รวมถึงความกังวลเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้รายได้ไม่สูงขึ้น และโอมิครอนที่ตัวเลขเริ่มกลับมาระบาดมากขึ้น ขณะที่ปัญหาการเมือง ขาดเสถียรภาพมากขึ้น ผู้บริโภคก็อาจมีความกังวลมากขึ้นในช่วงระยะสั้น”
สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล คือ การเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนเอสเอ็มอี การผ่อนคลายมาตรการให้ธุรกิจกลาคืนกลับมาดำเนินธุรกิจได้ และเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ , ขยายโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ในวงเงินเกิน 1,500 บาทต่อคน เพราะช่วยเติมเงินเข้าระบบการค้า ทำให้เกิดการซื้อขายได้มากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และส่งผลต่อไปถึงให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น, รับนักท่องเที่ยวมากขึ้น, ผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ แม้จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น, ยกเลิกแนวคิดการล็อกดาวน์หรือจำกัดพื้นที่, เร่งเคาะมาตรการช่วยเหลือโดยการลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเดินทาง รวมทั้งลดภาระภาษี และค่าธรรมเนียมเช่น ภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิง และสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน