การทางพิเศษฯ ครบรอบ 49 ปี เดินหน้ามุ่งมั่นพัฒนาเส้นทาง เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง



นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กทพ. ได้มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการจราจร ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตามแผนงานและภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาเครือข่ายระบบทางพิเศษให้เชื่อมโยงกันอย่างบูรณาการ ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน 

โดยปัจจุบัน กทพ. ได้เปิดให้บริการทางพิเศษรวม 8 สายทาง รวมระยะทาง 224.6 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษอุดรรัถยา ทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร 

นอกจากทางพิเศษทั้ง 8 สายทาง ที่เปิดให้บริการแก่ผู้ใช้ทางพิเศษมาอย่างต่อเนื่อง กทพ. ยังคงก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่น เพื่อพัฒนาโครงข่ายระบบทางพิเศษ เชื่อมโยงระบบคมนาคม และอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน โดยคำนึงถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม  และขณะนี้มีโครงการทางพิเศษที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเร่งด่วน 3 โครงการ ประกอบด้วย  

​- โครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3–ดาวคะนอง–วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครกับพื้นที่ปริมณฑลทางด้านตะวันตก รวมถึงการเดินทางจากจังหวัด ภาคใต้และช่วยลดปัญหาการจราจร ช่วงบางโคล่–สะพานพระราม 9 – ดาวคะนอง และถนนพระรามที่ 2 โดยการก่อสร้างได้ดำเนินการไปแล้ว ในสัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 4 โดยล่าสุด ได้เดินหน้าก่อสร้างเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ปลายปี 2567​

– โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ระยะที่ 1 ตอน N2 ถนนประเสริฐมนูกิจ – ถนนวงแหวนรอบนอกฯ ด้านตะวันออก และ ระยะที่ 2 ส่วนทดแทนตอน N1  บางซื่อ – ถนนประเสริฐมนูกิจ เพื่อแบ่งเบาปัญหาจราจรติดขัดบนถนนประเสริฐมนูกิจและถนนประดิษฐ์มนูธรรม บริเวณทางแยกต่างระดับฉลองรัช และเชื่อมโยงโครงข่ายทางพิเศษให้เป็นโครงข่ายในแนวตะวันออก – ตะวันตกอย่างสมบูรณ์ โดยการดำเนินการ อยู่ระหว่างจัดทำรายงานขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกได้อนุมัติให้ กทพ. เดินหน้าก่อสร้างในส่วนของ N2 โดยไม่ต้องรอ N1 ตามขั้นตอนเดิม

​นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ การทางพิเศษฯ ยังได้รับมอบหมายให้ดำเนิน โครงการ 2 โครงการในจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ และถือเป็นทางพิเศษสายแรกที่ก่อสร้างเป็นอุโมงค์ในภูมิภาค คือ โครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. และโครงการทางพิเศษสายเมืองใหม่ – เกาะแก้ว – กะทู้ ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อไปยังสนามบินภูเก็ต เพื่อรองรับการเดินทางและท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่าง TOR จ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน กทพ. ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการแก่ผู้ใช้ทางพิเศษ เช่น การพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบจราจรอัจฉริยะ (ITS Center) การพัฒนาระบบ e – Service เพื่อให้บริการเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ แก่ผู้ใช้บริการทางพิเศษ และล่าสุดได้เปิดศูนย์บริหารการจราจรทางพิเศษ (Expressway Traffic Management Center) ซึ่งเป็นศูนย์สั่งการด้านการจราจรแบบ Single Command เรียบร้อยแล้ว 

นอกจากนี้ ในด้านการจัดเก็บค่าผ่านทาง ได้เพิ่มทางเลือกใหม่ด้วยการติดตั้งระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ แบบไม่มีไม้กั้น Multi-lane Free Flow หรือ M-Flow ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมโดยร่วมกับกรมทางหลวง ในการบูรณาการให้เป็นไปในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหารถติดหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง โดยมีการดำเนินงาน เป็น 3 ระยะ คือ

– ระยะที่ 1 ติดตั้งระบบ M – Flow บนทางพิเศษฉลองรัช ที่ ด่านจตุโชติ, ด่านสุขาภิบาล 5-1 และ ด่านสุขาภิบาล 5-2

– ระยะที่ 2 บนทางพิเศษฉลองรัชในด่านที่เหลือ ทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก รวม 60 ด่าน

– ระยะที่ 3 บนทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษอุดรรัถยา รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ในอนาคต

“เพื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะยังคงพัฒนาศักยภาพต่อไป เพื่อให้ทางพิเศษเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ปลอดภัย ได้มาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนไทยได้อย่างยั่งยืน” นายสุรเชษฐ์ กล่าว