“อาคม”ลั่น! ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ไม่เกี่ยวรีดรายได้ ชี้อยากเห็นภาษีบุหรี่อัตราเดียว



นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่นั้น ไม่เกี่ยวกับหารายได้เพิ่มหลังจากรัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะ 70% เพื่อเปิดทางกู้เงิน โดยการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งนี้ เนื่องจากครบกำหนดทบทวนโครงสร้างอยู่แล้ว  ซึ่งรัฐไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องรายได้เพียงอย่างเดียว แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เรื่องสุขภาพของประชาชน ที่ทั่วโลกกำลังรณรงค์ยกเลิกสูบบุหรี่ ดังนั้นจึงเป็นที่มา เพราะอยากให้เลิกสูบบุหรี่ราคาก็เป็นตัวกำหนด ถ้าราคาเพิ่มขึ้นอาจจะทำให้อัตราการบริโภคน้อยลง

ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีบุหรี่ในประเทศไทยยังแบ่งไม่ถูกต้องเท่าไหร่ เพราะแบ่งเป็นตลาดบุหรี่ราคาถูกและราคาแพง ทำให้บุหรี่ไทยซึ่งราคาถูกขายไม่ออก เพราะโดนบุหรี่ต่างประเทศเข้ามาแทรกแซง ซึ่งกระทบต่อรายได้ชาวไร่ยาสูบ ซึ่งถือเป็นภาระหนึ่งของรัฐบาล โดยกระทรวงการคลังได้รับงบประมาณในการชดเชยเพื่อช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบแล้ว และจะเร่งดำเนินการขั้นตอนถัดไป เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดของบุหรี่จากการยาสูบแห่งประเทศไทย (สยท.)ลดลง มีการรับซื้อใบยาน้อยลง ดังนั้นรายได้ของชาวไร่จึงลดลงตามไปด้วย

“ในอนาคต ทางครม.ได้มอบหมายให้ศึกษาวิธีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เพราะเมื่ออัตราการบริโภคบุหรี่ลดลงไปแล้ว แน่นอนว่าชาวไร่ยาสูบจะต้องได้รับผลกระทบ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องทบทวนโครงสร้างภาษีบุหรี่ จะต้องดูว่าอัตราไหนเป็นธรรมที่สุด โดยอยากให้อัตราภาษีจัดเก็บอยู่ในอัตราเดียว”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 30 ก.ย.2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ลงประกาศกฎกระทรวง กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2564 ปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ ดังต่อไปนี้ การจัดเก็บตามตามปริมาณจาก 1.20 บาทต่อมวน เป็น 1.25 บาทต่อมวน สำหรับการเก็บภาษีตามมูลค่ายังเป็น 2 อัตรา จากที่เก็บ 20% ของราคาขายปลีกซองละไม่เกิน 60 บาท และ 40% สำหรับราคาขายปลีกที่เกิน 60 บาท เป็น 25% ของราคาขายปลีกซองละไม่เกิน 72 บาท และ 42% สำหรับราคาขายปลีกที่เกิน 72 บาท