ดาวโจนส์บวก 506จุด เฟด-เอเวอร์แกรนด์ ไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐ



.ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น นักลงทุนซื้อหุ้นกลับหลังปัจจัยลบคลี่คลาย
.ประธานเฟดระบุไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ผิดนัดชำระหนี้ไม่กระทบสหรัฐ
.ยันเฟดมุ่งมั่นใช้เครื่องมือทั้งหมดหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐ-กำหนดลดQEเดือนพ.ย.ตามคาด

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 23 ก.ย.ปิดที่ 34,764.82 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 506.50 จุด หรือ 1.48% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,448.98 จุด
เพิ่มขึ้น 53.34 จุด หรือ 1.21% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,052.24 จุด เพิ่มขึ้น 155.40 จุด หรือ 1.04%

มีแรงซื้อหุ้นกลับในแทบทุกกลุ่มหลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เป็นไปตามคาด โดยเฟดยังกระตุ้นเศรษกิจต่อเนื่อง คงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไปจนถึงปีหน้า และถึงเริ่มลดการใช้มาตรการการซื้อพันธบัตร หรือ QEในการประชุมเดือน พ.ย.ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ตลาดได้ซึมซับไปแล้วก่อนหน้า

ขณะเดียวกันนักลงทุนคลายกังวลกรณี บริษัท ไช่น่า เอเวอร์แกรนด์ เนื่องจากมีการระบถว่าไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างที่คาดไว้

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) โดยระบุว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในขณะนี้ โดยเฟดเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานให้ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา

ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงความเห็นต่อกรณีที่บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป มีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้ว่า เขาเชื่อว่าการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับสองของจีนรายนี้จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับสหรัฐ แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อภาวะการเงินทั่วโลก

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 16,000 ราย สู่ระดับ 351,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเป็นการขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 320,000 ราย

ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 54.5 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี จากระดับ 55.4 ในเดือนส.ค.

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.41% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นหุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 7.72% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 5.37% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 3.39% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 2.49%

หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีดตัวขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสายการบิน โดยหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 4.51% หุ้น 3M บวก 0.94% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือด้านการก่อสร้าง พุ่งขึ้น 2.75% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดีดขึ้น 1.85% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.92% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ เพิ่มขึ้น 2.43%

หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.89% หลังจากโบอิ้งคาดการณ์ว่า ภายในปี 2583 จีนจะซื้อเครื่องบินใหม่จำนวน 8,700 ลำ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.47 ล้านล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 12% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 8,600 ลำ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำของจีนส่งสัญญาณขยายตัวต่อเนื่อง