

.ด้าน”ไพบูลย์”ท้วงผิดข้อบังคับ – ใช้คำรุนแรง
.ขณะที่ประธานรัฐสภาปรามยิ่งทำให้เสียเวลา
31 ส.ค.2564 เมื่อเวลา 09.45น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 151 จำนวน 6 คนประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข3. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน4. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม5. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายเปิดญัตติ โดยพล.อ.ประยุทธ์เป็นรายชื่อแรกว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบัน ได้รวมศูนย์อำนาจ รวบอำนาจ และมีอำนาจตามกฎหมายแบบเบ็ดเสร็จ เช่น พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผอ.ศบค. ศบศ. และผอ.ศบค.กทม. รวมถึงกฎหมายต่างๆ ถึง 40 ฉบับ ที่เป็นอำนาจในคณะรัฐบาลมาไว้กับตนเอง นอกจากนี้ยังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และข้อสั่งการของตนในลักษณะกลืนน้ำลายตัวเอง ปล่อยปละละเลยต่อมาตรการป้องกัน ควบคุมโรคโควิด จนมีการแพร่ระบาดของโรคเป็นวงกว้างทั่วประเทศยากที่จะควบคุม ส่งผลให้เพียงระยะเวลา 4 เดือนเศษ มีผู้ติดเชื้อกว่า9แสนคน และเสียชีวิตกว่า7พันคน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว เกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน ต้องปล่อยผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้าน บางรายทนไม่ไหวต้องตายกลางถนน ตายในรถ หรือตายคาบ้านตนเอง ตายยกครอบครัว สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้พบเห็นและพี่น้องประชาชนอย่างยิ่ง ถึงกับมีคำกล่าวว่าประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการจัดหาวัคซีน ทั้งวัคซีนหลัก และทางเลือกให้ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ล่าช้า เลื่อนลอย ไม่แน่นอน ปิดบัง อำพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ การตรวจหาเชื้อก็ทำได้ในปริมาณน้อย มาตรการไม่แน่นอน เครื่องมือในการตรวจหาเชื้อไม่เพียงพอ ไม่ทันกับการแพร่ระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากทุกวัน การจัดหาเครื่องมือเป็นไปโดยทุจริต ส่วนมาตรการควบคุมโรคก็ไร้ทิศทาง ผิดเป้าหมาย และแผนงาน และไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและความเสียหายจากมาตรการของรัฐ อาทิ การล็อคดาวน์ การสั่งปิดสถานประกอบการ โดยขาดการศึกษาวิเคราะห์ที่ดีพอ อันนำมาสู่ความเสียหายจนทำให้ภาคธุรกิจต้องเลิกกิจการจำนวนมาก เกิดภาวะตกงาน มาตรการการปิดเมือง ปิดโรงงาน กลับไม่สามารถหยุดยั้งหรือลดการแพร่ระบาดของโรคได้จนส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมากแต่กลับนำมาใช้จ่ายอย่างไร้ทิศทาง ไม่ลำดับความสำคัญของการใช้เงินงบประมาณที่หมดไปกับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งที่ตกอยู่ในสงครามของโรคระบาด ไม่ใช่สงครามสู้รบ ใช้จ่ายงบประมาณ และเงินกู้โดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง สร้างภาระหนี้สาธารณะจนชนเพดานหนี้สาธารณะตามกฎหมาย และหนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ แอบอ้างว่ามีวัคซีนของบริษัทในพระปรมาภิไธยเพื่อมาฉีดให้กับประชาชน เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล พวกพ้อง และข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโควิดอย่างกว้างขวางในหลายเรื่อง ทั้งการจัดหาและจองวัคซีนล่วงหน้า การซื้อวัคซีนก็หลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเปิดประตูให้มีการทุจริต และยังมีการทุจริตในการกระจายวัคซีนโดยเลือกปฏิบัติ
รวมถึงการทุจริตในเรื่องอื่นๆ ไม่สร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมทั้งที่เอกชนและโรงพยาบาลเอกชนประสงค์จะช่วยจัดหาและจัดซื้อวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน แต่กลับดำเนินการโดยล่าช้า ขาดความจริงใจ พฤติการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ มีลักษณะ ค้าความตาย เห็นวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ เหิมเกริม คิดการใหญ่โตในการสร้างกำไรจากวัคซีนร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข โดยหวังการกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพ และคราบน้ำตาของพี่น้องประชาชน เพิกเฉยละเลยทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้รับวัคซีนที่หลากหลายและทั่วถึง ภายใต้โครงการ Covax
จนกระทั่งสถาบันวัคซีนแห่งชาติต้องออกมาขอโทษประชาชน เมื่อประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่เอาผิดกับประชาชนและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ยังลุแก่อำนาจสั่งการให้มีการใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างรุนแรงเกินสมควรกว่าเหตุตลอดมา ตามนิสัยความถนัดของตนเอง จนกล่าวได้ว่าประเทศกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความคับแค้นเกลียดชัง
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรมว.กลาโหม ยังเห็นชอบและปล่อยปละละเลยให้มีการเสนอและใช้จ่ายงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีสถานการณ์การสู้รบใดๆ เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว ทำให้ประเทศไทยถึงจุดที่เรียกว่าตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์และกลายเป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัยในสายตาชาวโลก การพลิกฟื้นและการลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถกระทำได้ ใจดำ ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และจากความโอหังและการเสพติดในอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จนทำให้อยู่ในสภาพของคนเป็นโรค โอหังคลั่งอำนาจ (Hubris Syndrome) ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นำประเทศได้อีกต่อไป
“ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมาน บ้านเมืองจะไร้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็น อันจะนำมาซึ่งความหายนะของประเทศชาติอย่างแท้จริง ตามที่มีการกล่าวกันว่าผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด เพราะคนโง่ คือภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ ผมขอเชิญชวนบรรดาส.ส.ฝ่ายรัฐบาล หยุดยั้ง หยุดมองผลประโยชน์ส่วนตน และร่วมกันยืนตามเจตจำงค์ประชาชนให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก พล.อ.ประยุทธ์คือความอับอายของประเทศโดยแท้ เป็นได้เพียงสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ความหมาย ผมและฝ่ายค้านเห็นว่าเราไม่อาจไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ทำหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไป” ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายสมพงษ์ ได้เริ่มแถลงญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยพล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลแรก แต่นายสมพงษ์ ได้อ่านชื่อและนามสกุลผิดเป็น “พล.อ.ประยุทธ์ ยงใจยุทธ” ถึง 2 รอบ และในช่วงระหว่างอ่านญัตติ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล อย่างนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นประท้วงอยู่ตลอด เช่น ใช้คำในญัตติว่า “ค้าความตาย” เป็นคำที่รุนแรง ผิดข้อบังคับการประชุม จนทำให้นายชวน ได้ห้ามปราม และระบุว่าการลุกขึ้นประท้วงทำให้เสียเวลาในการอภิปราย