ศบค.แจง 3 เกณฑ์ “COVID-Free Setting” ย้ำ! “พนักงาน-ลูกค้า”ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม-ผลตรวจ ATK เป็นลบ



วันที่ 27 ส.ค.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือศบค. แถลงว่า การยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อเปิดกิจการ/กิจกรรมให้ปลอดภัยและยั่งยืนด้วยหลักการ COVID-Free Setting และ Universal Pervention หรือการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แบบครอบจักรวาล สำหรับสถานที่เสี่ยงและกลุ่มเสี่ยง 1.แนวปฏิบัติเพื่อการปรับพฤติกรรมในการป้องกันโรคส่วนบุคคล หรือการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แบบครอบจักรวาล ที่เน้นให้ทุกคนคิดเสมอว่าตัวท่านเองและคนรอบข้างอาจติดเชื้อ โควิด-19 แบบไม่มีอาการและต้องป้องกันไม่รับและแพร่เชื้อต่อด้วยการ DMHT

2.แนวปฏิบัติของมาตรการองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดโรคในการเปิดกิจการได้จัดกิจกรรมได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนด้วย COVID-Free Setting โดยมีเกณฑ์สามส่วนที่จะต้องร่วมมือกัน คือ 1. Covid -Free Environment คือ ระบบระบายอากาศ สุขอนามัย สะอาดปลอดภัย และ เว้นระยะห่าง 2.Covid-Free Personnel คือ ผู้ประกอบการและพนักงานที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านตัดผม และร้านนวด จะต้องฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ 2 เข็มให้เร็วที่สุดและตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ให้กับพนักงาน

3. Covid-Free Customer คือ ลูกค้าจะต้องฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม และก่อนเข้ารับบริการจะต้องตรวจ ATK หรือมีใบรับรองผลการตรวจเป็นลบไม่เกิน 7 วัน ทั้งนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำว่า เป็นมาตรการที่จะทำให้นำไปสู่การเปิดกิจการและกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งจะต้องมีการกำกับติดตามอย่างเข้มงวดงวดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“ที่ประชุมศบค.เห็นชอบมาตรการนี้ และให้เริ่มวันที่ 1 ก.ย.นี้ โดยเน้นย้ำดำเนินการในพื้นที่นำร่องเฉพาะสถานประกอบการ หรือสถานบริการที่มีความพร้อม โดยจะต้องมีความเห็นชอบและการประเมินจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เช่นสถานประกอบกิจการ ร้านอาหาร ที่มีความพร้อม พนักงานฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และสามารถหาชุดตรวจ ATK เพื่ออำนวยความสะดวกที่จะตรวจพนักงานทุกสัปดาห์ แต่ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้กับทุกร้าน หรือสถานประกอบการ แต่เป็นนำร่อง ซึ่งผู้ประกอบการยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติตามมาตรการนี้ก็สามารถศึกษารายละเอียดไปก่อน รวมถึงขอคำปรึกษาคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือหารือกับสมาคมภัตตาคารไทย ซึ่งเมื่อพร้อมก็เริ่มใช้มาตรการนี้ได้โดยมีการกำกับติดตามอย่างเข้มงวด”