

วันที่ 24 ส.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังเสร็จสิ้นการประชุมครม.ว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มี 2 ประเด็นที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือประชาชนที่อยากนำมาแจ้งให้ทุกคนทราบ ดังนี้
เรื่องที่ 1 โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ครม.เห็นชอบข้อเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก เป็นครั้งที่ 2 เพิ่มเติมอีก 12 จังหวัด 2,186 โครงการ วงเงินรวม 3,587.21 ล้านบาท เมื่อรวมกับที่อนุมัติไปแล้ว 23 จังหวัด 2,117 โครงการ วงเงินรวม 6,170.65 ล้านบาท ในการประชุมครั้งที่แล้ว รวมเป็นทั้งสิ้น 35 จังหวัด โครงการที่ผ่านการอนุมัติ 4,303 โครงการ รวมกรอบวงเงินจัดสรร 9,757.86 ล้านบาท
โครงการทั้งหมด แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยวบริการ และการค้า เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด กลุ่มที่ 2 โครงการยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร เช่น การขุดบ่อบาดาล การขยายท่อเพื่อการเกษตร
กลุ่มที่ 3 โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และกลุ่มที่ 4 โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชุมชน เช่น การทำถนน สาธารณูปโภค ปรับปรุงประปา อาคาร และอื่นๆ
โดยโครงการทั้งหมด เป็นระยะเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตจากสถานการณ์โควิด-19 มีระยะเวลาดำเนินการ ระหว่างเดือน ส.ค.-ธ.ค.64
จากที่อนุมัติแล้ว 4,303 โครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานอย่างน้อย 95,500 คน มีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 18 ล้านคน และโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ยังจะอนุมัติครั้งต่อๆไปสำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการ ซึ่งจะนำเสนอต่อ ครม.โดยเร็วที่สุดหลังจากพิจารณาอนุมัติโครงการตามที่เสนอมาแล้ว
เรื่องที่ 2 การแก้ไขปัญหากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ปัจจุบันมีการกู้ยืมเงินของ กยศ. มากกว่า 5 ล้านราย รวมเป็นวงเงินมากกว่า 6 แสนล้านบาท แต่ยังมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้สูงถึงมากกว่า 60% และยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลให้สั่งการให้คณะกรรมการ กยศ. มีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ.
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ได้ออกมาตรการจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ประเภทต่างๆ เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี และเพิ่มส่วนลดเงินต้นจาก 3% เป็น 5% สำหรับผู้ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ ส่วนผู้ไม่สามารถชำระหนี้ชั่วคราว ก็มีการผ่อนผัน จากเดิมจ่ายขั้นต่ำ 100 บาท ลดลงเหลือเพียง 10 บาทต่อเดือน
ส่วนกลุ่มที่ผิดชำระหนี้ ก็มีการลดเบี้ยปรับ 100% ในการชำระหนี้ปิดบัญชี และเพิ่มส่วนลดเบี้ยปรับจาก 75% เป็น 80% เพื่อให้เบี้ยปรับลดลง สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะปกติ พร้อมลดอัตราเบี้ยปรับลงเหลือ 0.5% ต่อปี ส่วนลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องนั้น มีนโยบายให้ชะลอการฟ้องร้องคดีและบังคับคดีออกไป สำหรับลูกหนี้รายใหม่ ให้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืน นอกนั้นจะยังมีแผนการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อผ่อนคลายภาระให้กับลูกหนี้ทุกประเภทด้วย
นายกฯ ระบุด้วยว่า ทั้งสองเรื่องนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการหาทุกหนทางช่วยเหลือประชาชน ที่เดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายลง รัฐบาลจึงต้องเตรียมมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ให้ถึงประชาชนแต่ละจังหวัดให้มากที่สุดและเร็วที่สุด
เพราะภายในสิ้นปีนี้ เราจะก้าวไปสู่การร่วมกันสร้างประเทศขึ้นมาใหม่อย่างยั่งยืนและมั่นคง ให้อนาคตของประเทศ มีรากฐานที่แข็งแรง ทั้งระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อประโยชน์และความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นใคร มีอาชีพใด อยู่ที่จังหวัดใด ทุกคนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ขอให้เราทุกคนมาร่วมมือ “สร้างประเทศ” ร่วมกัน
