

.ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังฟื้นต่อ ช่วยพยุงดัชนีให้ปรับขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุน
.ตลาดเบาใจคนว่างงานลดต่อเนื่อง-ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)ไม่สูงกว่าคาดมากนัก
.นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล 26-28 ส.ค.นี้
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 12ส.ค.ที่ระดับ 35,499.85 จุด เพิ่มขึ้น 14.88 จุด หรือ +0.04% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,460.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.13 จุด หรือ +0.30% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอทโพซิส ปิดที่ 14,816.26 จุด เพิ่มขึ้น 51.13 จุด หรือ +0.35%
หลังจากมีแรงขายทำกำไรในช่วงเปิดตลาดส่งผลให้ดัชนีอยู่ในแดนลบ ดัชนีดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี500 ปรับขึ้นมาบวกเล็กน้อยเมื่อปิดตลาด
ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ดีดตัวขึ้น 0.8% โดยหุ้นโนวาแว็กซ์ ทะยานขึ้น 5.52% หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.01% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เพิ่มขึ้น 0.8% หุ้น Abbvie ดีดขึ้น 1.73% หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 1.58% หุ้นเอชซีเอ เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.57%
ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก ปรับขึ้นตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารปรับตัวขึ้น 0.6% โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.08% หุ้นเซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ทะยานขึ้น 2.54% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 1.05% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 1% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.75% หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวขึ้น 0.67% หุ้นแอมะซอน บวก 0.35%
นักวิเคราะห์จากบริษัทอินเวอร์เนส คอนเซิล กล่าวว่า นักลงทุนหมุนเวียนแรงซื้อเข้าสู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเฮลธ์แคร์ซึ่งเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มสดใสในระยะยาว จากก่อนหน้านี้ที่เข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หากสภาคองเกรสสหรัฐผ่านร่างกฎหมายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์
ขณะที่ตัวเลขว่างงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยพยุงดัชนีตลาดหุ้น โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งระบุว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 12,000 ราย สู่ระดับ 375,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวแม้มีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
นอกจากนั้น ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ยังพุ่งขึ้น 1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.6% และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เดือนก.ค.พุ่งขึ้น 7.8% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2553
โดยนักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือQE ของเฟดโดยคาดว่าจะลดQEในปีนี้ และขึ้นดอกเบี้ยต้นปี66