กรุงไทย ประเมินธุรกิจร้านอาหารครึ่งปีหลังเสียหาย 2.5 แสนล้าน ชี้ “Cloud Kitchen” คือหนทางรอด



น.ส.นิรัติศัย ทุมวงษา และจารุวรรณ เหล่าสัมฤทธิ์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินว่า ผลกระทบจากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้นและอาจลากยาวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ต่อกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 130,000-259,600 ล้านบาท

ธุรกิจร้านอาหารเป็นอย่างไร จากวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา ภาครัฐได้ประกาศปลดล็อกให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดให้บริการแล้ว แต่ยังเข้มงวดให้มีการติดต่อและสัมผัสกับผู้บริโภคน้อยที่สุด  ซึ่งเป็นการผ่อนคลายจากมาตรการก่อนหน้านี้ที่ภาครัฐสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าในช่วงวันที่ 20ก.ค. – 2 ส.ค. ยิ่งไปกว่านี้ ภาครัฐยังได้ยกระดับความเข้มงวดโดยการขยายพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็น 29 จังหวัด จากมาตรการก่อนหน้านี้ที่มีเพียง 13 จังหวัด   

อีกทั้ง ภาครัฐได้ขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ออกไปเป็น 31 ส.ค. จากเดิม 2 ส.ค.ซึ่งเป็นการซ้ำเติมธุรกิจร้านอาหารต่อจากมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.–19 ก.ค. มาตรการทั้งหมดข้างต้น เปรียบเป็นพายุลูกใหม่ที่จะสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจร้านอาหารที่พยายามประคับประคองกิจการอย่างยากลำบากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดวิกฤตโควิด-19

หากพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของธุรกิจร้านอาหารในไตรมาสที่ 2/2020 พบว่าหดตัวลึกถึง 49.2%YoY (รูปที่ 1) ทั้งนี้ ผลประกอบการที่แย่เช่นนี้อาจเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3/2021 หรือต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี 2021 หากไทยไม่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้คลี่คลายลงได้

นอกจากรายได้และสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจร้านอาหารที่หายไปมากแล้ว ร้านอาหารหลายรายยังมีโอกาสที่จะปิดกิจการ ทั้งนี้ ทางสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่าจำนวนร้านอาหารโดยรวมในไทยมีอยู่ประมาณ 550,000 ราย ซึ่งคาดว่าปิดกิจการแล้ว 50,000 ราย ก่อนที่มีมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่เริ่มเมื่อ 28 มิ.ย. และประเมินว่าน่าจะมีอีก 50,000 ราย ที่เตรียมจะปิดกิจการแบบชั่วคราวและถาวร หากไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐภายในเดือน ก.ค. 2564

ธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ หากล็อกดาวน์ลากยาว

จากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่แตะระดับ New High ที่มีจำนวนราว 2 หมื่นรายต่อวัน มานาน 1 สัปดาห์ สะท้อนให้เห็นถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่กลับมารุนแรง ประกอบกับความล่าช้าของการกระจายและฉีดวัคซีน ทำให้ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในระยะต่อไปจากมาตรการในปัจจุบันที่จะสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ส.ค.2564 ทั้งด้านการขยายระยะเวลาล็อกดาวน์และการขยายพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุด

โดย Krungthai COMPASS มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจขยายเวลาล็อกดาวน์เพิ่มอีก 1 เดือน ไปสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564และในกรณีที่แย่สุด ภาครัฐอาจขยายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์เพิ่มเติมอีก 1 เดือน ไปสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ต.ค. 2564 รวมถึงอาจมีการควบคุมพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จากปัจจุบันมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด

ทั้งนี้ มุมมองการขยายเวลาล็อกดาวน์เพิ่มไปสิ้นสุดเดือน ก.ย. เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับรายงานการคาดการณ์ภาวะการระบาดของโควิด-19จากกองระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ที่ประเมินไว้ว่า หากล็อกดาวน์ 1 เดือน (เริ่ม 19 ก.ค. 2564) จะช่วยชะลอให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ณ ระดับสูงสุดออกไปเป็นเดือน ต.ค. และหากล็อกดาวน์นาน 2 เดือน จะช่วยชะลอให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ณ ระดับสูงสุดออกไปเป็นเดือน พ.ย. โดยในกรณีล็อกดาวน์ 2 เดือน อาจทำให้จุดสูงสุดของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะต่ำกว่าในกรณีล็อกดาวน์ 1 เดือน(รูปที่ 2)

ธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ หากล็อกดาวน์ลากยาว

จากแนวโน้มของมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น Krungthai COMPASS จึงได้ประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจร้านอาหารในครึ่งปีหลัง2021 ซึ่งรวมผลกระทบจาก 1)รายได้ที่จะสูญเสียไปของธุรกิจร้านอาหารที่ยังสามารถเปิดได้อยู่ หลังมีมาตรการล็อกดาวน์ และ 2)รายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่มีโอกาสปิดกิจการ ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรในครึ่งปีหลัง 2564 (ไม่รวมผลกระทบจากร้านอาหารที่ปิดกิจการไปแล้วก่อนมีมาตรการกึ่งล็อกดาวน์เมื่อ 28 มิ.ย.2564)

ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าความเสียหายของธุรกิจร้านอาหารโดยรวมในครึ่งปีหลัง 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 107,500-214,600 ล้านบาท หรือหายไป 22-44% ของรายได้ร้านอาหารโดยรวมในปี 2562 ซึ่งแบ่งเป็น 3 กรณี (รูปที่ 3) ได้แก่

กรณีที่ 1 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 31 ส.ค. และมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด คาดว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 107,500 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่เตรียมจะปิดกิจการราว 50,000 ราย

กรณีที่ 2 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย. และมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด คาดว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 164,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่เตรียมจะปิดกิจการราว 75,000 ราย

กรณีที่ 3 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย.และขยายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ไปสิ้นสุด ณ 31 ต.ค. โดยจะบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 214,600 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่เตรียมจะปิดกิจการราว 100,000 ราย

สำหรับการขายอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Food Delivery เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ธุรกิจร้านอาหาร หลังจากมีมาตรการล็อกดาวน์ที่สั่งห้ามจำหน่ายอาหารหน้าร้าน แต่โดยรวมอาจสร้างรายได้เพียงช่วยพยุงกิจการให้คงอยู่ เนื่องจากกลยุทธ์นี้อาจไม่เหมาะกับร้านอาหารบางประเภท อาทิ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ และร้านอาหาร Fine Dining (ร้านอาหารที่มีคุณภาพระดับสูงและบรรยากาศดี) นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงในปัจจุบัน อาจส่งผลให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการสั่งอาหารจากร้าน แล้วหันมาประกอบอาหารเองที่บ้านมากขึ้น

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารอาจปรับตัวสู่ Cloud Kitchen ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยธุรกิจร้านอาหารให้ฟื้นตัวดี โดยสอดคล้องกับธุรกิจ Food Delivery ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไทย ที่มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยที่ 31%ต่อปี ในช่วงปี 2563-2568

Cloud Kitchen เป็น Business Model ของร้านอาหารที่ไม่มีหน้าร้าน โดยเป็นลักษณะของครัวกลางที่ให้ร้านอาหารหลายรายเข้ามาเช่าพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งการจำหน่ายแบบ Food Delivery และ Take Away ทำให้ Cloud Kitchen สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคที่ต้องเผชิญความท้าทายจากการคุมการระบาดของโควิด-19 และอาจไม่ได้เป็นเพียงทางรอดในช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจใน New Normal

อย่างไรก็ดี การปรับตัวในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหารเพียงลำพังอาจอยู่รอดได้ยาก ภาครัฐจึงควรมีการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาทั้งสองธุรกิจนี้ด้วย สำหรับระยะเร่งด่วนในช่วงเวลาล็อกดาวน์ ภาครัฐอาจมีโครงการสั่งซื้ออาหารจากร้านอาหาร หรือวัตถุดิบอาหารเพื่อป้อนให้แก่ครัวกลางสำหรับส่งต่อไปยังผู้ติดเชื้อไวรัสที่อาจรักษาตัวแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ

เมื่อไหร่ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นตัว

ผลกระทบจากการคุมการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารต้องปรับตัวอย่างหนัก เพื่อให้สามารถพยุงกิจการต่อให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสจะบรรเทาลง แต่ Krungthai COMPASS มองว่าธุรกิจร้านอาหารในไทยคงต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวอย่างน้อย 2 ปี

ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหารจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ หากร้านอาหารปิดหน้าร้านเป็นเวลานาน

มาตรการล็อกดาวน์ไม่เพียงทำให้ธุรกิจร้านอาหารเกิดความเสียหายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องด้วย โดยเฉพาะธุรกิจวัตถุดิบอาหาร ซึ่งมีสัดส่วนที่ 21% ของรายได้ร้านอาหารโดยรวม ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าการสูญเสียรายได้ของธุรกิจร้านอาหาร จะส่งผลให้รายได้ของกลุ่มธุรกิจวัตถุดิบอาหารมีแนวโน้มสูญเสียตามไปด้วย ประมาณ 22,500 – 45,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง 2021

สำหรับประเภทของวัตถุดิบที่จะกระทบหนักสุดคือ กลุ่มเนื้อสัตว์ เนื่องจากมีสัดส่วนการผลิตสูงถึง 50% ของต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายที่ประมาณ 11,300-22,500 ล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มผักและผลไม้ ซึ่งเก็บรักษาได้ยาก โดยคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายที่ราว 6,000-12,200 ล้านบาท และลำดับถัดมา คือกลุ่มข้าวและธัญพืช คาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายที่ราว 2,300-4,500 ล้านบาท (รูปที่ 4)

โดยสรุป มูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทั้งกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร จะอยู่ที่ประมาณ 130,000-259,600 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดยผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากขึ้นในแต่ละกรณี ได้แก่

1)หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 31 ส.ค. และควบคุม 29 จังหวัด จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 130,000 ล้านบาท
 
2)หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย. และควบคุม 29 จังหวัด จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 198,300 ล้านบาท

และ 3)หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย.และขยายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ไปสิ้นสุด ณ 31 ต.ค. ซึ่งอาจครอบคลุมทั่วประเทศ จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 259,600 ล้านบาท