โควิดซัดแรง!เศรษฐกิจไทยทรุด “คลัง”หั่นจีดีพี 64 เหลือ 1.3% คาดสิ้นปีมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแค่ 3 แสนคน



  • ฝัน!ปี 65 ตั้งเป้าเศรษฐกิจโต 4 -5%
  • คาดท่องเที่ยวฟื้นต่างชาติมาเที่ยวไทย 12 ล้านคน
  • ส่งออกขยายตัวเพิ่ม จากเศรษฐกิจโลกฟื้น

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ใหม่ ซึ่งถือเป็นการปรับครั้งที่ 3 โดยคาดว่าจะขยายตัว 1.3 % จากเดิมตั้งเป้าขยายตัวเศรษฐกิจไว้ที่ 4.5% โดยการปรับประมาณการครั้งแรกเหลือ 2.8 % และครั้งที่ 2 ปรับเหลือ 2.3% และครั้งนี้เหลือ 1.3%  ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก  และจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยลดน้อยลง เหลือเพียง 300,000 คนเท่านั้น

สำหรับปัจจัยที่คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวได้ 1.3% นั้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัว ทำให้การส่งออกสินค้าไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงที่ 14.5 %ต่อปี  ส่งผลให้คาดว่ามูลค่าการส่งออกทั้งปี 2564 จะขยายตัว 16.6%  

ทั้งนี้ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจโลกขยายตัว 5.7% อัตราแลกเปลี่ยน 31.48- 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ​ ราคาน้ำมันดิบดูไบ 66.70  เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และรายจ่ายภาคสาธารณะ 4.06 ล้านล้านบาท  อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.2% ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล 2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีพีดี) ซึ่งขาดดุลในภาคบริการเป็นสำคัญ ส่วนการบริโภคของภาครัฐและการลงทุนของรัฐ​จะขยายตัว 4.2% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.0 %

“การประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด ซึ่งคาดการณ์ว่ากลางเดือนส.ค.จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงสุด หลังจากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อจะทยอยลดลงและคลี่คลายในที่สุด  ขณะที่จำนวนการฉีดวัคซีนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แต่ประเทศไทย ก็ยังคงมีข้อจำกัดในการเปิดรับนักท่องเที่ยว  รวมถึงความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันในตลาดโลก หากมีการปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงาน และความขัดแย้งในหลายประเทศ อีกทั้ง ทิศทางนโยบายการเงินโลกที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นจะส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ”

อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีฐานะการคลังที่มั่นคงและมีเสถียรภาพทำให้กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการดำเนินมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปโดยแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐประกอบกับนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

ส่วนเรื่องหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(จีดีพี)นั้น คาดว่าสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ยังสามารถบริหารจัดการได้ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ส่วนถ้าหากหนี้สาธารณะใกล้ถึง 60% ของจีดีพี หรือถ้าเกินกรอบนั้น ก็สามารถเสนอคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธาน เพื่อปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะได้

น.ส.กุลยา กล่าวต่อว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2565 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วง  4.0 -5.0% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลงและมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวน12 ล้านคน ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การจ้างงาน และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้การใช้จ่ายภายในประเทศจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี