
- ลั่น! ยังไม่ออกมาตรการใหม่เพิ่ม
- สศค.ชี้เร่งฉีดวัคซีนให้มากที่สุด
- เป็นปัจจัยหลักทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวกับการประเมินสภาวะเศรษฐกิจทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รวมถึงสำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง (สศค.) กำลังอยู่ระหว่างประเมินเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปีนี้ (เม.ย.-มิ.ย.) ซึ่งคาดว่าในเร็วๆนี้แต่ละหน่วยงานก็จะประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ซึ่งหลังจากรับทราบตัวเลขจีดีพีแล้ว ก็คงมีการประมาณการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งการปรับประมาณการเศรษฐกิจนั้น จะเป็นไปตามรอบแต่ละไตรมาส โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจภายในเดือนก.ค.นี้
“กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด จากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 หากมีอะไรต้องออกมาตรการเยียวยา ก็จะได้ทันท่วงที แต่ขณะนี้ยังไม่มีมาตรการใหม่ๆ อะไรที่ออกมา เพราะกระทรวงการคลัง เพิ่งจะออกมาตรการ ทั้งคนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ มาตรการพักหนี้เงินต้นพักดอกเบี้ย ของสถาบันการเงินทั้งธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นต้องรอผลมาตรการต่างๆ ที่ออกมาก่อน หลังจากนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่ารัฐควรจะออกมาตรการใดเพิ่มเติมอีกครั้ง”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ขณะนี้สศค.อยู่ระหว่างการรวบรวมและทำการสรุปข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆ ผลจากมาตรการรัฐ เพื่อประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ พร้อมปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ปี 2564 ซึ่ง สศค.จะมีการแถลงในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ โดยแนวโน้มของการปรับจีดีพีนั้น อยู่ในระดับที่ดีกว่า 0% แน่นอน ส่วนจะอยู่เท่าไรนั้นอยู่ในขั้นตอนการประเมิน
อย่างไรก็ตามในการประเมินครั้งล่าสุด เมื่อเมษายน 2564 ที่ประเมินจีดีพีไว้ 2.3% นั้น เพราะคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ จำนวน 2 ล้านคน แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ในปัจจุบัน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงกว่าที่เคยคาดไว้มาก ในขณะที่ภาคการส่งออกอยู่ในช่วงปรับตัวดีขึ้น ส่วนการประกาศล็อกดาวน์กะทันหันของรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ ดังนั้นจึงทำให้การประมาณการจีดีพีครั้งนี้มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนปัจจัยอื่นๆ ก็ยังคงต้องติดตาม
ส่วนมาตรการเยียวยาและบรรเทาทางเศรษฐกิจ ในครั้งนี้เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนฝั่งผู้ประกอบการในพื้นที่ควบคุมเข้มงวดและสูงสุด หรือล็อกดาวน์ 10 จังหวัดเป็นหลัก จากที่ผ่านมามาตรการทั้งหลายของรัฐบาล ออกมาช่วยฝั่งประชาชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงเห็นว่าควรช่วยเหลือฝั่งผู้ประกอบการโดยตรงบ้าง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการล็อกดาวน์ จึงออกมาตรการมาในรูปแบบนี้ ในขณะเดียวกันการช่วยเหลือเยียวผู้ประกอบการ ก็จะช่วยลูกจ้าง พนักงาน เน้นคนที่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมทั้งคนนอกระบบที่ยังไม่มีฐานข้อมูลด้วย โดยขอให้กลุ่มดังกล่าว ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบประกันสังคม มาตรา 40 เพื่อให้มีข้อมูลในระบบ
“มาตรการที่ออกมาไม่ได้มองในเรื่องการกระตุ้นและการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว แต่เน้นไปที่เยียวยาและบรรเทาความเดือนร้อน ให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ สามารถรักษาลูกจ้างไว้ได้ และจากมติคณะรัฐมนตรีที่ออกมา จะเน้นไปที่การเสริมสภาพคล่อง สำหรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องรอให้สถานการณ์ กลับมาเป็นปกติมากกว่านี้ ถึงจะมีเม็ดเงินออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยหลักที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ คือต้องเร่งกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนให้ได้มากที่สุด “
สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่จะปรับเพิ่มวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ อี-วอยเชอร์ เป็น 10,000 บาทต่อวันต่อคน จากเดิมจำนวน 5,000 บาทต่อวันต่อคนนั้น จะเข้าคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายในวันที่ 22 ก.ค.2564 นี้










