ท่ามกลางกระแสข่าว เอกสารหลุดการค้านฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ที่คาดว่าจะเข้ามาในประเทศไทย ในเดือนกรกฏาคม จำนวน 1.5 ล้านโดส เป็นวัคซีนโดสที่ 3 ให้แพทย์ แต่เห็นชอบ ควรฉีดเป็นเข็มที่ 1 ให้ผู้มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในพื้นที่ระบาดรุนแรง “กทม.-ปริมณฑล” โดยบางส่วนนกังวลถ้าต้องยอมรับว่าการฉัดวัคซีนซิโนแวคสองโดสไม่มีผลในการป้องกันโควิด-19 โดยไม่ทราบที่มาของวัคซีนจำนวนดังกล่าว
ขณะที่มีรายงานข่าวจากสื่อมาเลเซียระบุว่า วัคซีนไฟเซอร์ ไอโอเอ็นเทค ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการบริจาคให้ประเทศมาเลเซีย จำนวน 1 ล้านโดสตามกำหนดการมาถึงมาเลเซียในวันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม นี้โดย รัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศมาเลเซีย ‘ดาโต๊ะ เสรี ฮิชามุดดีน ฮุสเซน’ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความขอบคุณ
“ในนามของรัฐบาลมาเลเซีย ผมอยากแสดงตวามขอบคุณอย่างจริงใจของนายแอนโทนี บลิงเกน (รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ) และรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้งสำหรับการบริจาควัคซีนโควิด-19”
วัคซีนดังกล่าวมาจาก ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ‘ไจ ไบเดน’ ได้ให้คำมั่นว่าจะบริการบริจาควัคซีนที่ผลิตได้ในสหรัฐฯ จำนวน 80 ล้านโดสไปทั่วโลก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของอัตราการฉีดวัคซีนระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา
เขาเปิดเผยถึงการได้รับวัคซีนจากสหรัฐว่า เขาได้ส่งไปในจดหมายไปถึงนาย บลิงเกนเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ว่ามาเลเซียยินดีกับการประกาศเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เกี่ยวกับการสนับสนุนการยกเว้นชั่วคราวของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาต่อวัคซีนต้านไวรัสโควิด
“ในการแสวงหาร่วมกันเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกัน มาเลเซียพร้อมที่จะสร้างความร่วมมืออย่างรอบด้านกับสหรัฐฯ ในการวิจัย พัฒนา และจัดจำหน่ายวัคซีน” รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าว
ที่มา- www.thestar.com.
