สบน.เผยปี 65 ได้รับจัดสรรงบคืนหนี้แสนล้าน



  • สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐ
  • ภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯที่เหลือกว่า 7.13 แสนลบ.
  • คาดจะชำระได้หมดภายในปี 2575

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า แผนการชำระหนี้เงินกู้หลังจากที่รัฐบาลได้มีการกู้เงินเพื่อนำมาใช้เยียวยาเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบโควิด-19ในระยะที่ผ่านมานั้น ในช่วงเวลาที่รัฐบาลยังจำเป็นต้องกู้เงิน เพื่อนำมาลงทุนหรือนำไปแก้ไขปัญหาเยียวยาประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาวางสมดุลของการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับการนำไปชำระคืนต้นเงินกู้และชำระดอกเบี้ย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีที่รัฐบาลมีภาระหนี้สูงเกินไปจนไปฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ

“ในสถานการณ์เช่นนี้ สบน.คาดหวังและให้ความสำคัญกับเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่มุ่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้เป็นลำดับแรก ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเมื่อเศรษฐกิจมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืน สัดส่วนภาระหนี้ของประเทศก็จะลดต่ำลงได้”

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณมีความเหมาะสมและให้รัฐบาลต้องรักษาความแข็งแกร่งทางการคลัง ด้วยเหตุนี้ ภายใต้ประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่ออกตามความในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐฯ จึงกำหนดให้รัฐบาลมีกรอบการชำระคืนต้นเงินกู้ให้อยู่ในช่วงระหว่าง 2.5% – 4.0% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการรักษาวินัยทางการคลัง

โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รัฐบาลได้กำหนดให้มีงบประมาณสำหรับชำระคืนต้นเงินกู้ของหนี้สาธารณะเป็นจำนวน 1 แสนล้านบาท หรือเท่ากับ 3.2% ของกรอบวงเงินงบประมาณ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเป็นค่ากลางของกรอบการชำระคืนต้นเงินกู้ตามประกาศด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้นอกเหนือจากการชำระคืนต้นเงินกู้ผ่านระบบงบประมาณ ที่ส่วนใหญ่เป็นการชำระคืนเงินกู้ให้กับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและแผนงานลงทุนในระบบงบประมาณแล้ว รัฐบาลยังมีการชำระคืนเงินกู้ในส่วนที่รัฐบาลกู้เงินเพื่อให้ความช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540

ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้เรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินในอัตรา 0.46% ของฐานเงินฝาก ซึ่งในช่วงที่เกิดผลกระทบจากโควิด-19 ได้ปรับลงเหลือ 0.23% จนถึงปี 2564 และนำส่งให้กระทรวงการคลังนำไปชำระคืนหนี้ในส่วนนี้ด้วย โดยคาดว่า จะสามารถชำระหนี้ของกองทุน FIDF ที่มียอดคงค้างในปัจจุบันจำนวนประมาณ 7.13 แสนล้านบาท ได้หมดภายในปี 2575

ในด้านการบริหารดูแลภาระดอกเบี้ย สบน.มีการวางแผนกำกับติดตามการกู้เงินอย่างใกล้ชิด โดยมีการบริหารพอร์ตหนี้ให้มีความสอดคล้องสภาพตลาดการเงินและการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันพอร์ตหนี้สาธารณะมีต้นทุนที่ต่ำลงมาก เพราะเรามีการล็อคต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาดโดยปัจจุบันเป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed) ในสัดส่วน 86% ของพอร์ตหนี้สาธารณะ และเป็นหนี้ชนิดที่มีดอกเบี้ยแปรผันตามอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Linked) เพียง 2%ของพอร์ตหนี้สาธารณะ

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวม ซึ่งโดยทั่วไปมักจะดูจากสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาล จะพบว่า สัดส่วนดังกล่าวของประเทศไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 7%กว่าๆ เท่านั้น ขณะที่ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น Moody’s กำหนด benchmark สัดส่วนดังกล่าวของประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ A ไว้ที่ 9-10% ดังนั้น จึงอาจถือได้ว่าเราสามารถบริหารควบคุมเรื่องภาระดอกเบี้ยได้ในระดับที่ดีและไม่น่ากังวล