ครม.เห็นชอบเพิ่มเงินเยียวยา นายจ้าง-ลูกจ้าง 6จังหวัด เป็น 8,500 ล้านบาท



  • เพิ่มส่วนของเงินกู้เป็น 5,000 ล้านบาท
  • หวังดึงคนเข้าระบบประกันสังคม
  • รวมช่วยอาชีพบริการ สปา ดูแลสัตว์เลี้ยงซ่อมรองเท้า

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบในหลักการมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการ อันเนื่องจากข้อกำหนดออกตามความในมาตรการ 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548(ฉบับที่ 25) ในเบื้องต้นคาดว่าการให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน ในระยะ 1 เดือน จะมีกรอบวงเงินที่ใช้เงินกู้โควิด-19 ประมาณ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท จากการหารือเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2564 ที่ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากมาตรการนี้ต้องการดึงผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบประกันสังคมมากขึ้น จึงให้คนที่อยู่นอกระบบรีบเข้ามาลงทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนก.ค.นี้ เพื่อทั้งนายจ้างและลูกจ้างคนไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือด้วย

ขณะเดียวกันต้องเผื่อเงินไว้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้าง ที่ให้มาลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นถุงเงิน ผ่านโครงการคนละครึ่ง เพื่อรับความช่วยเหลือ 3,000 บาทด้วย ซึ่งการเยียวครั้งนี้จะรวมถึงกิจการที่พักแรม และสถานบันเทิงด้วย โดยคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้โควิด-19 จะรีบพิจารณารายละเอียด เพื่อนำเสนอ ครม.อนุมัติในสัปดาห์หน้า ส่วนมาตรการจ่ายเงินเยียวยา 50% จากฐานเงินเดือนหรือคนละไม่เกิน 7,500 บาทของสำนักงานประกันสังคม สามารถดำเนินการได้เลยโดยไม่ต้องนำเสนอ ครม.

ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กลุ่มเป้าหมายให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบตามข้อกำหนด ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบและนอกระบบ ขณะที่ประเภทกิจการที่ให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบัเทิงและนันทนาการ และกิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด เช่น ซ่อมคอมพิวเตอร์ ซ่อมอุปกรณ์มือถือ ซ่อมเครื่องใช้ครัวเรือน ซ่อมเสื้อผ้า เครื่องหนัง ซ่อมเฟอร์นิเจอร์ ซ่อมเครื่องดนตรี ร้านซักรีด ร้านตัดผม ธุรกิจลดน้ำหนัก สปา แต่งเล็บมือ เล็บเท้า ดูแลสัตว์เลี้ยง โดยมีระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ จำนวน 1 เดือน ในพื้นที่กรุงเทพ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร

สำหรับรูปแบบการให้ความช่วยเหลือจะต้องเป็นแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม ในอัตรา 2,000 บาทต่อคน ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากการให้ความช่วยเหลือผ่านระบบประกันสังคมที่ได้มีการให้ ขณะที่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง จะได้รับความช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง สูงสุดไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหรือนายจ้างที่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ในกรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนก.ค.2564 จะได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน และลูกจ้างที่เป็นสัญชาติไทยจะได้รับความช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อคน ส่วนกรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ผ่านโครงการคนละครึ่ง ภายในเดือนก.ค.2564 ผู้ประกอบการจะได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 3,000 บาท นอกจากนี้ กรณีที่เป็นผู้ประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม ของโครงการคนละครึ่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม เนื่องจากไม่มีลูกจ้าง จะได้รับการช่วยเหลือในอัตรา 3,000 บาท สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในโครงการคนละครึ่งและมีลูกจ้างแต่ยัง ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมให้ลงทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนก.ค.นี้

ส่วนมาตรการอื่น ๆ ได้ขอให้กระทรวงการคลังทำโครงการต่าง ๆ ทั้ง โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ขณะที่มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป ได้ขอเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยให้กระทรวงแรงงาน เร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างมาลงทะเบียนในระบบประกันสังคม และให้ สศช. ประสานกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด -19 ตามความเหมาะสมต่อไป