“ไบเดน” ออกคำสั่งห้าม 59 บริษัทจีนทำธุรกิจในสหรัฐฯ



  • มีทั้งบริษัทเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนและสหรัฐฯเฝ้าระวัง 
  • มีผลตั้งแต่ 2 ส.ค.นี้ให้เวลา 1 ปีถอนหุ้นออกให้หมด 
  • ชี้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนทั้งด้านการค้า-สิทธิมนุษยชน 

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา (ตามเวลาสหรัฐฯ)  ให้บริษัทจีน 59 แห่งที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน หรืออุตสาหกรรมที่สหรัฐฯเฝ้าระวัง รวมถึงหัวเว่ย เทคโนโลยี อิงค์ และบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ ห้ามทำธุรกิจในสหรัฐฯ โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ส.ค.นี้

การลงนามในครั้งนี้เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากนโยบายของอดีดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งบริษัทที่ถูกสั่งห้ามส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำก่อนหน้านี้ รวมถึง 3 บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง ไชน่าโมบายล์, ไชน่ายูนิคอม และไชน่าเทเลคอม รวมถึงผู้ผลิตสมาร์ทโฟน แถวหน้าของจีนอย่าง หัวเว่ย เทคโนโลยี และบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยนักลงทุนมีเวลา 1 ปีในการดำเนินการถอนหุ้น ที่ลงทุนทั้งหมดในทั้ง 59 บริษัทดังกล่าว 

สำหรับการลงนามดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทของจีน 2 แห่ง ซึ่งรวมถึงเสียวหมี่ (Xiaomi) ชนะคดีในกรณีที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีคำสั่งขึ้นบัญชีดำห้ามทำธุรกิจในสหรัฐฯเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคณะบริหารของประธานาธิบดีไบเดน กล่าวว่า การลงนามดังกล่าวเป็นการแก้ไขสิ่งที่สหรัฐฯทำมาในอดีดให้ถูกต้องตามกฎหมายในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีไบเดน ที่มีต่อจีน ทั้งในประเด็นด้านการค้าและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน 

สำหรับ 59 บริษัทของจีน ที่สหรัฐฯห้ามทำธุรกิจในสหรัฐฯนั้น นอกจากจะเป็นบริษัทเกี่ยวกับเทเลคอมแล้ว ยังมีบริษัทอื่นๆ อีก เช่น Aviation Industry Corp. of China, Ltd., ซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทัพของจีน,  China North Industries Group Corp., China Aerospace Science and Industry Corporation Ltd., Hangzhou Hikvision Digital Technology Co., ผู้พัฒนากล้องวงจรปิด และเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ที่ช่วยให้ทางการจีนเปิดตัวโครงการ “เมืองปลอดภัย” ในซินเจียง ที่ซึ่งชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการถูกกดขี่ข่มเหง เป็นต้น