
- เดินหน้าจับมือ “China Post” ลุยขยายบริการร่วมกัน
- เร่งขยายพื้นที่ LEO Self Storage และ Container Depot
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2564 แนวโน้มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณความต้องการขนส่งสินค้าทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งอัตราค่าระวางทั้งทางเรือทางอากาศ ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง และคาดว่าจะยืนสูงไปได้ถึงครึ่งแรกของปีนี้
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังได้เดินหน้าขยายบริการจากการจับมือกับพันธมิตรอย่าง China Post Group ซึ่งจะช่วยต่อยอดทางธุรกิจให้กับบริษัทฯ ในการพัฒนาธุรกิจการขนส่งสินค้า International/Cross Border E-commerce และธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศให้เติบโตขึ้น และทำให้ในปี 2564 บริษัทฯ มีการเติบโตทางรายได้ไม่น้อยกว่า 40-45% และคาดว่าจะผลักดันให้รายได้สามารถทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่
นายเกตติวิทย์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้เริ่มโครงการขยายธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 บริเวณ ถนน บางนา-ตราด ขาเข้า กม.21 เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการ เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมเผชิญกับภาวะขาดแคลนพื้นที่ให้บริการ พักตู้สินค้า คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างช้าไม่เกินไตรมาส 4 ปี 2564 โดยโครงการลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ แห่งที่ 2 นี้ มีเนื้อที่ 31 ไร่ มีขนาดใหญ่กว่าโครงการที่ 1 ที่มีเนื้อที่ 12.5 ไร่ ประมาณ2.5 เท่า ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่เพียงพอที่จะสามารถทำลานให้บริการตู้ Reefer Container ที่สามารถสร้างรายได้จากบริการValue Added Services มากกว่าตู้ Dry Container
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในโครงการบริการห้องเก็บของส่วนบุคคล (Self Storage) แห่งที่2 ที่มีพื้นที่เพิ่มอีก 2-3 พันตารางเมตร โดยจะตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ย่านเยาวราช หรือ China Town ของกรุงเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดยใช้ชื่อว่า LEO Self Storage China Town
“สำหรับงบลงทุนในปีนี้คาดว่า จะใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโลจิสติกส์ โดยเร็วๆนี้คาดว่า จะมีการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมอีกดังนั้นน่าจะสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2566 จะมีการเติบโตเป็น 2 เท่า หรือ 2,000 ล้านบาท จากปี 2564” นายเกตติวิทย์กล่าว
อย่งไรก็ตาม บริษัทฯมีผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2564 โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 9.3 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 473.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 228.1 ล้านบาท
“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณและความต้องการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ค่าระวางในการขนส่งสินค้ายังคงปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งบริษัทมีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้สามารถบริหารอัตรากำไรขั้นต้นได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี” นายเกตติวิทย์ กล่าว










