คลัง สั่งกรมภาษีเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บ เหตุ 5 เดือนแรกเก็บรายได้ต่ำเป้า 1 แสนล้าน



  • พร้อมวางนโยบายหารายได้เพิ่มเติม
  • เงินชดเชยขาดดุลยังเหลือ 608,000 ล้านบาท

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้กรมภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งขณะนี้กรมจัดเก็บรายได้ ทั้งกรมสรรพสาพร สรรพสามิต และกรมศุลกากร ก็รับนโยบายไปแล้ว และจะเร่งดูแลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ กรมภาษีจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 100,000 ล้านบาท

“เข้าใจเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ดี  แต่เรื่องเป้าเก็บรายได้ของแต่ละกรมก็ยังอยากให้เป็นไปตามเป้าหมายประมาณการของเอกสารงบประมาณ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการหลุดเป้าหมายไปบ้าง ซึ่งกระทรวงการคลังก็เห็นสัญญาณการเก็บรายได้ช่วง 5 เดือนแรกลดลง หายไปกว่า 100,000 ล้านบาท แต่ละกรมจึงจะต้องเร่งดูแลเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน สศค. ก็ต้องติดตามว่าที่เหลืออยู่อีก 7 เดือน จะสามารถทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายมากน้อยแค่ไหนบ้าง”

นอกจากนี้ สศค. ยังได้รับนโยบายแนวทางในการหารายได้เพิ่มเติม ซึ่งจะต้องพิจารณารูปแบบการหารายได้ด้วยว่า จะต้องไม่กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน และผู้ประกอบการในช่วงนี้ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาช่องทางว่ามีส่วนใดบ้างที่สามารถหาเม็ดเงินเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังก็มีการบริหารจัดการเม็ดเงินในส่วนอื่นๆ ทั้งเม็ดเงินจากรัฐวิสาหกิจ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก็จะเป็นผู้บริหารการนำเงินส่งคลังของรัฐวิสาหกิจ

นอกจากนี้ สศค. และหน่วยงานจัดเก็บของแต่ละกรม มีการประชุมติดตามเรื่องการเก็บรายได้ของกรมภาษีทุกไตรมาส ว่าแต่ละกรมภาษีจะต้องจัดเก็บรายได้ได้จำนวนเท่าไหร่บ้าง และจะต้องมีการเร่งการจัดเก็บรายได้อย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ 64 ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ว่าจะไม่มีเงินใช้จ่ายของปีนี้ ซึ่งขณะนี้ยังสามารถใช้ได้อยู่ เนื่องจากมีช่องว่างในการกู้เงิน นอกเหนือจากการกู้เงินชดเชยขาดดุล ยังมีช่องว่างเรื่องการกู้รายจ่ายสูงกว่ารายได้

“ในปีงบประมาณ 64 คลังได้วางกรอบการกู้เงินชดเชยขาดดุลไว้ 608,000 ล้านบาท แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม ตามกฎหมายก็ยังมีช่องว่างในเรื่องการกู้เงินรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ซึ่งที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติให้มีช่องกู้ได้อีก 127,000 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 730,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงมั่นใจว่าขณะนี้กระทรวงการคลังสามารถบริหารจัดการเรื่องการบริการเงินได้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาวิธีกู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากส่วนดังกล่าวมาใช้”