สศค.เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทย ดึงเอกชนลงทุนอุตสาหกรรมใหม่-เกษตร



  • หวังอัดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ
  • หนุนการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)​ เปิดเผยว่า ขณะนี้สศค.อยู่ระหว่างการศึกษาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างการลงทุนของประเทศไทยใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ในเบื้องต้นจะต้องส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ หรือ New S-curve เพื่อพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบสินค้าและเทคโนโลยี เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม รวมถึงให้มีการลงทุนการเกษตรกรรมมากขึ้น

“วิฤกตโควิดครั้งนี้ ทำให้คนไทย กลับไปอยู่ภูมิลำเนาเพิ่มขึ้น ดั้งนั้นต้องสนับสนุนให้กลุ่มคนเหล่านี้ทำอาชีพเกษตรกรรม ที่สร้างรายได้ให้ตนเองและเลี้ยงครอบครัว ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกันภาครัฐ ก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนการทำการตลาด ช่วยขายสินค้า ขนส่งโลจิสติกส์ เพื่อให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพ”

นอกจากนี้ต้องสนับสนุนให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ให้ครอบคลุม ให้ประชาชนได้เข้าถึงการใช้บริการทั้งบริการภาครัฐ และบริการจากภาคเอกชน เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจที่สร้างใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆด้วย

“ช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิดเทคโนโลยีดิจิทัลจะ เป็นตัวเร่งให้ประชาชนหันมาใช้บริการดิจิทัล ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ยกตัวอย่างการใช้แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ขณะนี้ผู้ใช้งานมากกว่า 30 ล้านคนแล้ว และเชื่อว่าหากมีการพัฒนารองรับการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าประชาชนจะใช้บริการมากยิ่งขึ้น เพราะสะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องสัมผัส ไม่ต้องระมัดระวังเรื่องโควิด”

น.ส.กุลยา กล่าวต่อว่า นับจากนี้ไปจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จากช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงวิฤกตโควิด รัฐบาลลงทุน และอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคของประชาชนในประเทศ ขณะที่การลงทุนของเอกชน ยังมีสัดส่วนต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ในอดีตช่วงก่อนวิฤกตต้มยำกุ้ง เอกชนมีการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งมากกว่า 40% ของจีดีพี แต่ปัจจุบันเอกชนมีการลงทุนเพียง 25% ของจีดีพี ดังนั้นจึงมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สัดส่วนการลงทุนของเอกชนอยู่ที่ 35% น่าจะเป็นอัตราที่เหมาะสม และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตด้วย

“การกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องสนับสนุนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพื่อลดความความเหลื่มล้ำ ลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น กรณีเกิดการระบาดโควิด ที่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ และเมืองใหญ่ เป็นต้น ทำให้เศรษฐกิจจังหวัดนั้นได้รับผลกระทบและหยุดชะงัก ก็มีผลกระทบต่อจีดีพี ดังนั้นหากมีการกระจายความเจริญ ไปยังภูมิภาค ก็จะสามารถทดแทนกันได้ จังหวัดหนึ่งปิด อีกจังหวัดก็เปิดให้บริการได้ ก็จะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มิใช่หยุดชะงักไปเลย”