

- นักลงทุนขายหุ้นทำกำไร หลังดัชนีดาวโจนส์-เอสแอนด์พีทำสถิติสูงสุดใหม่
- ไอเอ็มเอฟเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2564 โต 6% จากระดับ 5.5%
- ตลาดจับตารายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำเดือนมี.ค
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 6เม.ย.ที่ 33,430.24 จุด ลดลง 96.95 จุด หรือ -0.29% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,073.94 จุด ลดลง 3.97 จุด หรือ -0.10% ดัชนีแจสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 13,698.38 จุด ลดลง 7.21 จุด หรือ -0.05%
หลังดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี500 ทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อวันที่ 5เม.ย.ที่ผ่านมา ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐค่อนข้างซบเซาเมื่อคืนนี้ โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งเทขายกุ้นเพื่อชดความเสี่ยง ขณะที่ยังมีการเก็บหุ้นรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 สู่ระดับ 6% จากระดับ 5.5% และปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2565 สู่ระดับ 4.4% จากระดับ 4.2%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 0.38% โดยหุ้นอัลฟาเบท ลดลง 0.44% หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวลง 0.49% หุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 0.86% หุ้น Nvidia ลดลง 0.90%
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 0.53% ขานรับความหวังเกี่ยวกับแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของปธน.ไบเดน โดยหุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น เพิ่มขึ้น 0.18% หุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี บวก 0.64%
หุ้นสแนป (Snap) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Snapchat ทะยานขึ้น 5.12% หลังได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนจากนักวิเคราะห์ของบริษัทแอตแลนติก อิควิตี้ส สู่ระดับ “Overweight” จากระดับ “Neutral”
หุ้นโนวาแว็กซ์ ปรับตัวขึ้น 0.8% หลังบริษัทประกาศแผนการขยายการทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายในไตรมาสส 2/2564 โดยครอบคลุมถึงการทดลองในเด็กและวัยรุ่น
หุ้นนอร์วีเจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 4.61% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะเริ่มให้บริการเรือสำราญนอกเขตแดนสหรัฐในเดือนก.ค.นี้ หลังจากที่หยุดให้บริการเป็นเวลานานนับปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความคืบหน้าในการผลักดันแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของปธน.ไบเดน ขณะที่นางเจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า หากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการอนุมัติแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ประธานาธิบดีไบเดนก็อาจจะผลักดันแผนการดังกล่าวโดยไม่พึ่งพาเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7.4 ล้านตำแหน่งในเดือนก.พ. จาก 6.9 ล้านตำแหน่งในเดือนม.ค. โดยตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ เนื่องจากมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด
นักลงทุนจับตารายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำเดือนมี.ค. ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค. และส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 2566