คลัง ยัน! ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ต้องจำเป็นใช้เงินเท่านั้น



นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ( สคร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดของหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าหุ้นใดมีความเหมาะสมที่จะขาย และไม่มีความจำเป็นที่กระทรวงการคลังต้องถือหุ้นต่อไป ถือเป็นการบริหารหุ้นให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงต้องพิจารณาความจำเป็นการใช้ของเงินภาครัฐด้วย

“การจะขายหุ้นต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม และความจำเป็นในการใช้เงิน รวมทั้งนโยบายของรมว.คลัง ในขณะนั้น เช่น การขายหุ้นบางจาก เพื่อไปซื้อหุ้น OR ตามสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้น ปตท. ก็ถือเป็นการบริหารจัดการให้เกิดผลกำไรในหุ้น ส่วนการจะต้องลดสัดส่วน หรือเพิ่มทุนในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)​ ก็ต้องพิจารณาตามแผนฟื้นฟูของการบินไทยก่อน ว่าเหมาะสมที่จะเพิ่มทุนหรือเติมเงินในจำนวนเท่าใด ถ้าซื้อหุ้นได้กำไร กระทรวงการคลัง ก็ไม่โดนด่า แต่ถ้าซื้อหุ้นแล้ว หุ้นร่วง ไม่ได้กำไร แล้วขายกระทรวงการคลังก็โดนด่า ดังนั้นต้องพิจารณาอย่างละเอียดและเหมาะสม โดยยืดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก”

นางปานทิพย์ กล่าวว่า การบริหารหุ้นของกระทรวงการคลังนั้น เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบในหลักการเมื่อปี 2559 เรื่องการจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ ใน 3 กลุ่มหลักทรัพย์ ได้แก่ 1.หลักทรัพย์ที่ได้มาจากการยึด 2.หลักทรัพย์ที่ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่น เนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ และ 3.หลักทรัพย์ที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องถือครอง โดยให้อำนาจกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณา วิธีการ ราคา และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการจำหน่ายหลักทรัพย์แต่ละตัว โดยหลักการคือการขายต้องไม่ต่ำกว่าราคาที่ได้มา ซึ่งปัจจุบันมีหลักทรัพย์ที่เข้าเงื่อนไขใน 3 กลุ่ม ประมาณ 20 หลักทรัพย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลสถานะหุ้นของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 9 มี.ค. 2563 กระทรวงการคลังถือครองหุ้นรวม 119 แห่ง มูลค่ารวม 2,035,891.42 ล้านบาท แบ่งเป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 22 แห่ง โดยเป็นรัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง มูลค่า 1,360,572.35 ล้านบาท เป็นบริษัทเอกชน 14 แห่งและเอกสารแสดงสิทธิ์ 2 หลักทรัพย์ มูลค่า 21,412.40 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 57 แห่ง เป็นรัฐวิสาหกิจ 14 แห่ง มูลค่า 311,563.20 ล้านบาท เป็นบริษัทเอกชน 43 แห่ง มูลค่า 5,043 ล้านบาท และบริษัทที่มีสถานะพิเศษ 35 แห่ง กองทุนรวม 5 แห่ง แบ่งเป็น กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง 1 แห่ง มูลค่า 331,457.30 ล้านบาท หน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศ (TFFIF) 1 แห่ง มูลค่า 5,840 ล้านบาท และหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆ 3 แห่ง มูลค่า 39.44 ล้านบาท