

- พร้อมดึงต่างชาติเกษียณอายุ 1 ล้านคนใช้ชีวิตในไทย
- ฟุ้งสร้างรายได้ปีละ 1.2 ล้านล้านบาท
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าหมายดึงนักลงทุนต่างชาติใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ และดิจิทัล ตามแผนจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลให้มีความสะดวกต่อการทำธุรกิจมากขึ้น เช่น การรายงานตัว การยื่นเอกสาร และการซื้อที่อยู่อาศัย เบื้องต้นทางทีมปฏิบัติการจะเร่งทำแผนให้เสร็จใน 1 เดือนก่อนเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เห็นชอบต่อไป
“การเดินสายที่ผ่านมา โดยเฉพาะการคุยกับทูตหลายประเทศก็พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย แต่มีกฎระเบียบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องปรับแก้ ซึ่งจะไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิประโยชน์ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอให้อย่างเดียว แต่จะรวมไปถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับตัวนักลงทุนให้เดินทางเข้ามา และใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่เป็นอุปสรรคกับการลงทุน หากปรับแก้ไขได้ก็จะช่วยดึงการลงทุนเข้ามามากขึ้น ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายว่า หากมีการลงทุนเข้ามาได้ต่อเนื่อง และทำให้จีดีพีโตเฉลี่ยถึง 4% ในช่วงชีวิตนี้จะได้เห็นประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง”

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ทีมปฏิบัติการเชิงรุก ที่มี ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษารองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีมดึงดูด และออกแบบวิธีดึงดูดนักลงทุน
ขณะที่ ม.ล.ชโยทิต เปิดเผยว่า ตั้งเป้าหมายต่อยอดอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของไทยเดิมมาเป็นยานยนไฟฟ้า เช่นเดียวกับอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเดิมประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมเหล่านี้แล้วจะต่อยอดให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ขณะที่อุตสาหกรรมการแพทย์ ต้องการทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตยาในภูมิภาคให้ได้ ส่วนดิจิทัล ก็ต้องเร่งทำเพราะกำลังเป็นเทรนใหม่ที่ทั่วโลกกำลังต้องการ
นอกจากนี้ จะหาทางดึงนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงจากทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในยุโรป ให้เดินทางมาท่องเที่ยวและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลพบว่านักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูงนี้มีอยู่ประมาณ 200 ล้านคน โดยตั้งเป้าหมายว่า หากดึงเข้ามาในประเทศไทยได้ 1 ล้านคน จะทำให้ประทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเพิ่มขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายต่อหัวสูง เฉลี่ยประมาณเดือนละ 1 แสนบาท ทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากคนกลุ่มนี้ 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี