

- หลังลุยตรวจสอบธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาฯ ล้ง
- ใน 9 จังหวัดท่องเที่ยวและที่มีต่างชาติทำธุรกิจ
- เตรียมเอาผิดตามกฎหมาย-ส่งดีเอสไอขยายผล
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแผนการตรวจสอบนิติบุคคล ที่น่าสงสัยว่าอาจมีพฤติกรรมเข้าข่ายกระทำความผิดเกี่ยวกับการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) ตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ2542 ในปี 64 ว่า กรมได้กำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย 3 ประเภทธุรกิจ คือ ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวกับการเกษตร (ล้ง) ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่สุราษฎร์ธานี กระบี่ ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว 2 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ตและเชียงใหม่ เบื้องต้นพบพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายนอมินีของผู้ถือหุ้นคนไทยจำนวน 11 ราย โดยถือหุ้นร่วมกับคนต่างด้าวในหลายบริษัท มูลค่าหุ้นรวมกว่า 200 ล้านบาท โดยกรมอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของแหล่งเงินทุน การถือครองหุ้นในแต่ละช่วงเวลา และอาจต้องส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนในเชิงลึกต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรมได้ปรับแผนการตรวจสอบใหม่ เพราะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจต้องหยุดดำเนินธุรกิจ โดยจะเน้นตรวจสอบเชิงแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การขออนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว รวมถึงติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดก่อนดำเนินการ แต่ถ้าตรวจพบการกระทำผิด จะส่งดำเนินคดีให้ถึงที่สุดทุกราย เพื่อปราบปรามไม่ให้ใช้ตัวแทนอำพรางและอาจลงพื้นที่เดิมซ้ำ หรือพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
สำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นนอมินี ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีคนไทยยอมรับผลประโยชน์ หรือสมยอมหรือที่ปรึกษากฎหมายแนะนำให้หลีกเลี่ยงกฎหมาย และจากฐานข้อมูลพบว่า มีคนไทยถือหุ้นในกิจการร่วมกับคนต่างด้าวในหลายๆ กิจการ ซึ่งเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับที่มาของแหล่งเงินทุนของคนไทยรายดังกล่าว อีกทั้งปัญหานอมินีเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศในวงกว้าง หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ จะทำให้ไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและสูญเสียรายได้เป็นอย่างมาก
“ขอเตือนคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย คนไทยที่ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในลักษณะนอมินี รวมทั้ง กรรมการบริษัทก็ต้องรับผิดด้วย โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 – 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 – 50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน”
นายทศพล กล่าวต่อถึงผลการตรวจสอบนอมินีในปี 63 ว่า ได้ธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์และโรงแรม รีสอร์ท ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และเป็นแหล่งที่มีคนต่างชาติมาลงทุน ซึ่งพบนิติบุคคลน่าสงสัยว่าอาจมีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นนอมินี 3 ราย เป็นธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง 2 ราย ที่ชลบุรี และเชียงใหม่ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1 ราย ที่ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งได้ส่งข้อมูลให้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวนเชิงลึกเพิ่มเติม เช่น ตรวจสอบความสัมพันธ์ของคนไทยกับชาวต่างชาติ เส้นทางการเงิน การชำระภาษี เป็นต้น หากเข้าข่ายนอมินี กรมจะร้องทุกข์กล่าวโทษตามกฎหมาย หรือหากธุรกิจที่กระทำความผิดมีมูลค่าสินทรัพย์ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษเพื่อดำเนินการตามอำนายหน้าที่ต่อไป