

- เปิดตัวใหม่ 34 โครงการมูลค่า 43,000 ล้านบาท
- ตั้งเป้ายอดขาย 35,500 ล้านบาท
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ตั้งเป้ารายได้ 43,100 ล้านบาท เป็นรายได้ที่มาจากแนวราบ 28,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากคอนโดมิเนียม เติบโตจากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 29, 958.5 ล้านบาทถึง 43% ในขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่35,500 ล้านบาท ไม่น้อยกว่า 26,000 ล้านบาทของยอดขายมาจากแนวราบเป็นหลัก

ในขณะที่ยอดขายในช่วงสองเดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายแนวราบ 4,100 ล้านบาททำให้ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่ขายได้แล้วรอโอน (Backlog) ทั้งสิ้น 37,938 ล้านบาท เป็นส่วนของคอนโดมิเนียม25,482 ล้านบาท และที่เหลือ 12,456 ล้านบาทเป็นส่วนของแนวราบ
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า สำหรับกลยุทธการทำธุรกิจในปี 2564 บริษัทมีแผนขยายตลาดไปสู่สินค้าระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และเกิน 10 ล้านบาทซึ่งมีกำลังซื้อ ในขณะที่จำนวนสินค้าในตลาดน้อยลง ส่วนตลาดระดับราคา 3-10 ล้านบาทยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท และขยายฐานแนวราบไปในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นโดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่อยุธยาและเชียงราย

สำหรับแนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 นายอนุพงษ์ ระบุว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ยังคงมีแนวโน้มทรงตัว ในช่วงครึ่งแรกของปี และน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างทรงตัว โดยปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจอยู่ที่การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินให้กับภาคธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อในการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบการที่พัฒนาคอนโดมิเนียม ที่ต้องมียอดขายให้ได้ตามเป้าหมายถึงจะได้รับการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทำให้ตลาดในปีนี้ยังคงเป็นปีที่เหนื่อยสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
“ในส่วนของเอพี มีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 ทำให้ในปี 2563 บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าในปี2564 บริษัทก็จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายอนุพงษ์ กล่าว

สำหรับปี 2563 บริษัท เอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานรายได้รวม 29,958.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปี 2562 และกำไร 4,225.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.93% เทียบกับปี 2562 มีความสามารถในการทำกำไร14.10%