3 กูรูด้านเศรษฐกิจฟันธง! เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง แนะนักลงทุนจับตาสงครามรัสเซีย-ยูเครน-ราคาน้ำมัน-อัตราเงินเฟ้อ



  • หอการค้าไทยชี้เศรษฐกิจไทยปี 66 เริ่มทยอยฟื้นตัว การส่งออกจะขยายตัวอย่างน้อย 1-2%
  • รับอานิสงส์ แรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว คาดปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากถึง 30 ล้านคน
  • ด้าน ธปท. ชี้เงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่โลกผันผวน

วันนี้ (15 ก.พ.66) สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “มองต่างมุมเศรษฐกิจไทย ปี 2566” โดยได้เชิญ 3 กูรู 3 มุมมอง ทั้งภาคเอกชน ตลาดเงิน และตลาดทุน ประกอบด้วย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย , นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาแลกเปลี่ยนมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ

สนั่น อังอุบลกุล

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี2566 เริ่มทยอยฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าจะขยายตัวอย่างน้อย 1-2% โดยภาคเอกชนและกระทรวงพาณิชย์ร่วมทำงานเชิงรุกเจาะตลาดการส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น ช่น ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงกระทรวงพาณิชย์จะเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศใหม่ๆ มากขึ้น 

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว คาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 30 ล้านคนจากปีที่ผ่านมา 11.8 ล้านคน ทำให้นอกจากการท่องเที่ยวดี จะทำให้ภาคบริการดีและการจ้างงานก็จะดีขึ้นด้วย โดยมองว่ารัฐบาลจะต้องมีงบประมาณมาช่วยโปรโมทให้ชาวจีนเข้ามาเที่ยวไทยที่กำลังจะเข้ามาในไตรมาส2 นี้ ทำให้จะเกิดการจับจ่ายใช้สอยและสร้างรายได้ให้กับประเทศ เกิดการจ้างงานและการลงทุนที่จะต้องเริ่มดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุนทางตรง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็ว

“หอการค้าฯ จะร่วมกับภาครัฐจัดเดินสายเจรจากับจีนให้เข้ามาลงทุนในไทย โดยภาครัฐจะต้องมีแรงจูงใจเรื่องความสะดวกในการทำธุรกิจและการลงทุนเพิ่มเติม”

นายสนั่น กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญคือจะช่วยธุรกิจเอสเอ็มอีได้อย่างไรให้เข้าถึงเงินทุนและมาตรการภาครัฐ มองว่าเรื่องภาษีจะมีส่วนช่วย  ซึ่งได้หารือกับอธิบดีกรมสรรพากรแล้ว ถ้าตกลงกันได้ที่จะช่วยเอสเอ็มอีในเรื่องภาษี ก็จะมีส่วนช่วยการจ้างงานในภาคเอสเอ็มอี 2-3 ล้านคน

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี2566 จะยังชะลอตัว แต่ในแต่ละประเทศมีการเติบโตที่แตกต่างกันออกไป เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 1.4% ในปี 2566 และในปี 2567 จะเติบโต 1% ซึ่งชะลอลงจากดอกเบี้ยสหรัฐฯขึ้นมาก ขึ้นเร็ว และยังไม่หยุดขึ้น อาจขึ้นจนถึงกลางปีและยังไม่ลดลงจนถึงสิ้นปีนี้ และเศรษฐกิจยุโรปมีปัญหามากจากสงครามรัสเซียกับยูเครน การขาดแคลนพลังงานและวัตถุดิบ ขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียดีขึ้น โดยเฉพาะของไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง 

เมธี สุภาพงษ์

ส่วนเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ ก็แตกต่างเช่นเดียวกัน ทำให้เงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่โลกผันผวน โดยการแก้ปัญหา ต้องทำอย่างรอบคอบและชั่งน้ำหนักทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน

“ดอกเบี้ยต่างประเทศขึ้นเร็ว-ขึ้นมาก แต่ไทยไม่มีความจำเป็น ที่ผ่านมาดอกเบี้ยไทยต่ำเป็นประวัติการณ์ ตอนนี้กำลังกลับเข้าสู่ระดับปกติ เพื่อให้มี Policy Space ให้ลดดอกเบี้ยลงได้ ถ้าไม่ทำอะไรเลย ถ้าเกิดผันผวน นโยบายการเงินจะไม่มีช่องว่างให้ทำได้ โดยยังย้ำการปรับดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ปกติค่อยเป็นค่อยไป ไม่ให้ตลาดผิดไปจากที่คาดไว้ ซึ่งมีหลายคนบอกว่าขึ้นดอกเบี้ยช้าจะเกิดส่วนต่างดอกเบี้ยกับประเทศอื่น ทำให้เงินไหลออก ซึ่งความจริงในไตรมาส 4 ที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่นักลงทุนไม่ได้มองดอกเบี้ย แต่มองเศรษฐกิจ ทุนสำรอง หนี้ต่างประเทศต่ำ ดูว่าจะเกิดวิกฤตอะไรหรือไม่ เหมือนกับไฟแนนเชี่ยลไทม์ ได้บอกว่าเงินสกุลบาทมีเสถียรภาพ สามารถทนทานต่อวิกฤติการเงินของโลกได้” 

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นวิกฤติที่ไม่เคยเจอ ทั้งโควิด-19 และยูเครนกับรัสเซีย หรือสภาพคล่องลดลง รวมถึงดอกเบี้ยสูง มีปัจจัยต่างๆ ทำให้กระทบเศรษฐกิจ ตลาดทุนทั่วโลก โดยในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้มากกว่าปีที่แล้ว และนักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นเห็นได้จากเดือนม.ค.2566 แค่เดือนเดียวมีเงินไหลเข้ามา 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตอนนี้เงินบาทแข็งค่า 34 บาทต่อเหรียญเมื่อเทียบกับ 38 บาทต่อเหรียญ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา 

ภากร ปีตธวัชชัย

ทั้งนี้ ในด้านตลาดทุนอุตสาหกรรมที่จะเป็นจุดแข็งของประเทศไทยคือการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยว การลงทุนที่ยั่งยืน และเศรษฐกิจใหม่ สำหรับการสนับสนุนตลาดทุนไทย ตลท.ได้ปรับปรุง 2 เรื่อง คือ ทำอย่างไรให้ภาคธุรกิจระดมทุนได้ตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก จากเดิมเป็นแค่ขนาดใหญ่กับขนาดกลาง โดยตลท.เริ่มมีกระดานเทรดใหม่ระดมทุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงง่ายมากขึ้น เช่น LiVE Exchange เป็นต้น

“ในปีนี้สิ่งที่อยากให้นักลงทุนพิจารณาคือ ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับยูเครน ความผันผวนของราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายเป็นความเสี่ยงที่ลดลง ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารต่างๆอยู่เสมอ และผลกระทบต่างๆของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ แต่ละอุตสาหกรรมและผลกระทบที่จะมีต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่ละอุตสาหกรรมจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นนักลงทุนจะติดตามข่าวสาร เพื่อลงทุนในสินทรัพยที่เหมาะสม”