

- หลังการันตีราคารับซื้ออ้อยขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อตัน
- ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.
- โควิดทุบยอดขายน้ำตาลในประเทศดิ่งเหว
นายปราโมทย์ วิทยาสุข ประธาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า โรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ 57 แห่ง ได้ทำสำรวจปริมาณผลผลิตอ้อยขั้นต้นในช่วงฤดูการเพาะปลูกปี 2564/65ท่ีจะเร่ิมในเดือนพ.ย.นี้ คาดมีผลผลิตอ้อยเข้าหีบเพิ่มขึ้นเป็น90 ล้านตันอ้อย สูงกว่ารอบการผลิตปีการผลิต2563/64 ท่ีมีเพียง 66.67 ล้านตันอ้อย โดยมีปัจจัยหลักมาจากสภาพอากาศที่เอื้อ ต่อการเพาะปลูกจากปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการประกันราคารับซื้ออ้อยให้แก่ชาวไร่ ในราคาขั้นต่ำที่ 1,000 บาทต่อตัน ณ ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเพาะปลูก
นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมของภาครัฐ ที่ให้ความสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อตัดอ้อยสด ทำให้ชาวไร่อ้อยมีรายได้จากการเพาะปลูกอ้อยเพื่อส่งมอบให้แก่โรงงาน รองรับความต้องการบริโภคน้ำตาลที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังสถานการณ์โควิด19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
สำหรับ แนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลก ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แม้ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก ได้คาดการณ์ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นก็ตาม เนื่องจากบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก ต้องเผชิญกับปัญหาจากสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตอ้อย ประกอบกับการคาดการณ์ว่า บราซิลจะนำผลผลิตอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น จะส่งผลสะท้อนต่อสภาวะราคาน้ำตาลตลาดโลกในทิศทางที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
ขณะที่ การบริโภคน้ำตาลภายในประเทศในรอบการผลิตปี 2563-2564 (ต.ค.2563 – ก.ย.2564) คาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ 2.2 ล้านตัน จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีการบริโภคอยู่ที่ 2.4 ล้านตัน หลังเกิด์โควิด-19ระลอก 2 และ 3 เป็นผลให้การบริโภคภายในประเทศหดตัวลง ล่าสุด 8 เดือนท่ีผ่านมา (ต.ค.2563 – พ.ค.2564) มีการปริมาณขายน้ำตาลภายในประเทศได้ 1.5 ล้านตันเท่านั้น

“โรงงานน้ำตาล ได้ จัดสรรปริมาณน้ำตาลไว้สูงเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค มิให้เกิดภาวะขาดแคลน ภายในประเทศ แต่โควิด-19 ส่งผล ให้การบริโภคลดลงมาก และต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และจากปริมาณการบริโภคในประเทศ ที่ลดต่ำกว่าที่คาดไว้ โรงงาน จะนำน้ำตาลส่วนที่เหลือจากการขายในประเทศส่งออก ไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศแทน เพื่อบริหารปริมาณให้เหมาะสมและสอดคล้อง กับภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป”