
สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA/ไออาต้า -International Air Transport Association) รายงานผลสรุปการประชุมประจำปี (AGM) ของ IATA ประจำปี 2566 ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี สรุปนโยบายล่าสุดอขงอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกพร้อมใจกันเดินหน้าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ หรือ #FlyNetZero ให้สำเร็จภายในพ.ศ. 2593 (ค.ศ.2050 ) หรืออีก 27 ปีหน้า เริ่มขยัยแล้ว 4 เทรนด์หลัก ได้แก่
เทรนด์แรก “เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน” พร้อมแล้วที่ให้บริการ SAF-Sustainable Aviation Fuel โดยมีข้อเรียกร้องให้แต่ละประเทศสร้างแรงจูงใจอย่างแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปลุกกระแสให้ผู้ให้บริการสายการบินผู้ให้บริการหันมาใช้เชื้องเพลิง SAF เพิ่มมากขึ้นซึ่งตอนนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในช่วงทดลองพัฒนาตลาด จึงควรใช้ข้อบังคับเฉพาะสร้างสรรค์นวัตกรรมขยายขนาด และลดต้นทุนต่อหน่วยลงให้ได้มากที่สุด
ขณะนี้ในสหภาพยุโรปภายใต้ European Green Deal ได้ตกลงจะลดการปล่อยมลพิษทางอากาศด้วยกลยุทธ์ส่งเสริม SAF ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและทันท่วงทีตามแผนลดคาร์บอนของทุกภาคส่วนได้ให้คำมั่นไว้โดยมีองค์ประกอบสำคัญในข้อตกลงนำร่อง 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย

เรื่องที่ 1 กำหนดข้อบังคับการยกระดับใช้น้ำมันเครื่องบิน SAF ในสนามบินทั่วยุโรปขั้นต่ำเริ่มปี 2568 เริ่มใช้ 2 % จากนั้นปี 2573 เพิ่มเป็น 20% ปี 2578 ทำให้สูงสุด 70% ปี 2593 เป็นศูนย์ ในจำนวนนี้จะมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงเหลว (PtL) หรือ E-Fuels รวมอยู่ด้วยในปี 2573 สัดส่วน 1.2% ในปี 2578 เพิ่มเป็น 5% ในปี 2593 เพิ่มขึ้นเป็น35%
เรื่องที่ 2 ข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการ ภายในปี 2567 จะต้องเดินหน้าเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของระบบ Book and Claim (B&C) ของสายการบินในการจัดการการจัดหา SAF ด้วยวิธีที่ยืดหยุ่นทั่วสหภาพยุโรป
เรื่องที่ 3 การเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติตามอาณัติ SAF เดียวของสหภาพยุโรปและหลีกเลี่ยงการปะติดปะต่อกันของอาณัติ SAF ระดับชาติ
นอกจากนี้ประเทศอื่น ๆ ในยุโรป อย่าง นอร์เวย์ เตรียมร่วมมือกับ Norsk e-Fuel สร้างโรงงานเชื้อเพลิงที่ยั่งยืนเต็มรูปแบบใน Mosjoen ภายใต้ข้อตกลง สายการบินตั้งเป้าที่จะครอบครองเชื้อเพลิงในระยะยาว และเข้าถือหุ้นในบริษัท นอร์เวย์ ซึ่งวางแผนที่จะรักษาความต้องการผลิตเพื่อใช้น้ำมัน SAF ประมาณ 20% ในปี 2573 โดยวิธีร่วมมือของ “Wizz Air” ซึ่งได้ลงนามMoU กับ Cepsa บริษัทพลังงานของสเปน เพื่อจัดหาเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืนตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ทำให้ Wizz Air มีโอกาสซื้อ SAF จาก Cepsa จัดหาเชื้อเพลิงในเครือข่ายเส้นทางบินของสายการบินในสเปนได้ในปี 25668
ส่วน Ryanair ได้ประกาศความร่วมมือกับ Neste Holland เพื่อให้บริการเที่ยวบินประมาณ 1 ใน 3 ของเที่ยวบินที่สนามบินอัมสเตอร์ดัม สคริปโพล (AMS -Amsterdam Airport Schiphol) โดยมีส่วนผสมของ SAF 40% โดยมีRepsol กับ Ryanair ลงนามข้อตกลงเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียนในสเปนและโปรตุเกสร่วมกัน
ขณะที่ “ภูมิภาคเอเชีย” สายการบินขนาดใหญ่กำลังตื่นตัวเดินหน้าเข้าสู่การใช้เชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืน SAF ได้แก่ สายการบินแรก “คาเธ่ย์ แปซิฟิก” ประกาศความร่วมมือกับ State Power Investment Corporation (SPIC) เพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของ SAF ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านโรงงาน SAF ใหม่ 4 แห่ง โดยใช้เส้นทางคล้ายการเปลี่ยนจากพลังงานเป็นของเหลว คาดโรงงานดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการระหว่างปี 2567-2569 ซึ่งแต่ละแห่งจะมีกำลังการผลิต SAF ได้ปีละประมาณ 50,000 -100,000 ตัน
สายการบินที่ 2 “ANA -All Nippon Airways” สายการบินชั้นนำของญี่ปุ่น ได้ตกลงจะใช้ SAF เป็นครั้งแรกภายใต้ความคิดริเริ่มของภาครัฐและเอกชน นำโดยสำนักงานการบินพลเรือนของกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยว (MLIT) และสายการบิน ANA จะจัดหา SAF แบบผสมจาก ITOCHU Corporation แล้ว ANA จะนำเชื้อเพลิงมาใช้ในเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ นำร่องจาก 2 สนามบินแรก คือ สนามบินนานาชาติฮาเนดะและนาริตะ ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทาง Honeywell และ Oriental Energy Company Ltd. ประกาศร่วมกันลงทุนสร้างโรงงานผลิต SAF ที่มีกำลังการผลิตปีละ 1 ล้านตัน ขึ้นในเมืองเมาหมิง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ฝั่ง “แปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ” ทาง Washington State University และ Snohomish County ร่วมมือกันพัฒนาศูนย์วิจัยและเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืน โดยทำโครงการประยุกต์ SAF มูลค่า 6.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเสนอการทดสอบเชื้อเพลิง การตกแต่งเชื้อเพลิง และที่เก็บเชื้อเพลิง นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทต่าง ๆ ได้แก่ Bank of America, Boom Supersonic, Boston Consulting Group, JPMorgan Chase & Co., Meta และ RMI องค์กรไม่แสวงผลกำไรด้านพลังงานสะอาด (SABA-Sustainable Aviation Buyers Alliance) เพื่อขอใบรับรองน้ำมันSAF ในปริมาณเกือบ 850,000 แกลลอน เพราะมีความสมบูรณ์สูงผลิตโดย World Energy ให้เที่ยวบินของJetBlue ซึ่งจะช่วยลด CO2 ประมาณ 8,500 ตัน แนวทางปฏิบัตินี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งเป็นสัญญาณการบินที่ลูกค้าส่งไปยังตลาด SAF
สำหรับทวีปไกลใน “แคนาดา” ค่ายใหญ่อย่าง แอร์บัส แคนาดา Pratt & Whitney Canada และ SAF+ Consortium ได้ประกาศความคิดริเริ่มใหม่จะร่วมมือกันนำเสนอ SAF ต่อไป โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลควิเบกผลักดัน การวิจัยและการทดสอบ SAF รวมถึงการทดสอบการบินผสม SAF สูงถึง 100% บนเครื่องบินแอร์บัสA220 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Pratt & Whitney GTF™ โครงการนี้ยังได้ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการจัดตั้งโรงงานผลิตในท้องถิ่นผลิต e-SAF จากพลังงานสู่ของเหลวในควิเบก
ตามแผนงาน Neste และ Air Canada กำลังขยายความร่วมมือกันจัดหา SAF เพิ่มเติมอีก 2.5 ล้านแกลลอน (9.5 ล้านลิตรหรือ 7,500 ตัน) เพื่อใช้ขับเคลื่อนเที่ยวบินของสายการบินจากสนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโก เช่นเดียวกับ Raven SR และ Cap Clean Energy ได้ประกาศความร่วมมือทำโครงการ SAF ของแคนาดาและโครงการดีเซลหมุนเวียน
ส่วน“สหรัฐอเมริกา”ก็มี1.เดลต้าแอร์ไลน์สจะซื้อSAFมากถึง10ล้านแกลลอนจากShell Aviationช่วง2ปีเพื่อใช้ที่ศูนย์กลางที่สนามบินนานาชาติลอสแองเจลิส2.ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ประกาศการลงทุน15ล้านดอลลาร์ในSvanteซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติแคนาดาที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการดักจับและกำจัดคาร์บอนเพื่อให้Svanteจัดหาวัสดุและเทคโนโลยีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าที่มีศักยภาพแปลงCO2ที่ถูกกำจัดออกจากชั้นบรรยากาศและจากแหล่งปล่อยมลพิษทางอุตสาหกรรมเป็นSAFให้ได้มากที่สุด

เทรนด์ที่ 2 “เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง” นำ โดย Aéroports de Montreal ประกาศนโยบายใหม่จะเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งบางชนิด เช่น ช้อนส้อม ภาชนะใส่อาหาร ถ้วยและถุง พลาสติกเหล่านี้ไม่สามารถใช้ในห้องรับรองวีไอพีของสนามบินนานาชาติมอนทรีออล–ทรูโด อีกต่อไป
“แอร์อินเดีย” ประกาศลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทุกเที่ยวบินทั่วโลกลงประมาณ 80% ซึ่งสามารถประสบความสำเร็จด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่อง นำโดยทีมผู้เชี่ยวชาญภายในบริษัท และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรด้านการจัดเลี้ยงและผู้ขายหลายราย มีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ให้บริการขนส่งให้น้อยที่สุดอย่างต่อเนื่อง
เทรนด์ที่ 3 “เครื่องบินไฟฟ้า” นำโดยนอร์ธโวลท์ของสวีเดน เดินหน้าโครงการพัฒนาโซลูชั่นและนวัตกรรมแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสุดทางการบิน โดยมี Cuberg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของนอร์ธโวลท์ทุ่มเทพัฒนามุ่งให้การบินด้วยไฟฟ้ามีความปลอดภัยและยั่งยืน
เทรนด์ที่ 4 “สนามบิน” แอร์อินเดีย ได้ลงนามในข้อตกลงกับ KSU Aviation เปิดตัวปฏิบัติการ TaxiBot ที่ 2 สนามบินนานาชาติเดลี กับเบงกาลูรู รองรับเครื่องบินตระกูลแอร์บัส A320 ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากการนำ TaxiBots มาใช้ทำให้มองเห็นศักยภาพการประหยัดเชื้อเพลิงได้ประมาณ 15,000 ตัน ได้ในเวลา 3 ปี
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen










