“ไบเดน” ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน

  • วงเงินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญฯ สร้างงานหลายล้านตำแหน่ง
  • หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐฯขยายตัวเร็วกว่าจีน
  • ดันสหรัฐฯทันสมัยมีระบบขนส่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯได้ลงนามกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bipartisan Infrastructure Framework – BIF) วงเงินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯแล้วเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประธานาธิบดีไบเดน ที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า จะสร้างงานหลายล้านตำแหน่ง และผลักดันให้สหรัฐฯแข่งขันกับจีนได้

สำหรับกฎหมายดังกล่าว ซึ่งรวมถึงงบประมาณการใช้จ่ายระยะเวลา 5 ปี วงเงิน 550,000 ล้านเหรียญฯ นั้น ใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีไบเดน เป็นรูปธรรม ทั้งการสร้างถนน สะพาน การสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการสร้างสถานีชาร์ตแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ

“กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ปี 65 เป็นปีแรกในรอบ 20 ปีที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯขยายตัวเร็วกว่าจีน” ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวในพิธีลงนามบังคับใช้กฎหมาย BIF ที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนได้ประกาศการบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรสเกี่ยวกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐ โดยกฎหมาย BIF ดังกล่าว มีวงเงินรวม 1.2 ล้านล้านเหรียญฯ และมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ

“โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐ และจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานของเรามีความทันสมัยมากขึ้น โครงการเหล่านี้จะสร้างระบบการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้ำประปาที่สะอาด มีเครือข่ายบรอดแบนด์ที่ครอบคลุม มีสาธารณูปโภคด้านพลังงานที่สะอาด และจะช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในแผน American Jobs Plan ของผม” ไบเดนเปิดเผยในวันดังกล่าว