“ไบเดน”เรียกร้องนานาชาติร่วมมือกันสร้างสันติ

.ย้ำไม่สร้างสงครามเย็นครั้งใหม่-ไม่แบ่งแยก

.ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

.พร้อมเป็นผู้นำในทุกความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 76 ที่นครนิวยอร์ก วานนี้ (21 ก.ย.) โดยเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกัน ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และวิกฤติสภาพอากาศ และความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและชาติพันธมิตร ซึ่งทำให้ความแตกแยกของโลกชัดเจนยิ่งขึ้น 

โดยนายไบเดน ยืนยันว่า ตนสนับสนุนประชาธิปไตยและวิธีทางการทูต และเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกัน พื่อก้าวผ่านช่วงเวลา 10 ปีอันแสนสำคัญสำหรับโลก “เราต้องทำงานร่วมกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราจะเลือกต่อสู้เพื่อแบ่งปันอนาคตร่วมกันหรือไม่ จะมีผลสะท้อนกลับถึงคนรุ่นต่อๆ ไป พูดง่ายๆ คือ ในมุมมองของผม เรากำลังยืนอยู่บนจุดพลิกผันในประวัติศาสตร์” 

นอกจากนี้ ยังย้ำว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการทำให้เกิดสงครามเย็นครั้งใหม่ หรือแบ่งแยกโลกเป็นกลุ่มก้อน แต่เราพร้อมทำงานร่วมกับประเทศใดก็ตามที่ก้าวออกมา เพื่อค้นหาทางออกอย่างสันติในจุดที่มีความท้าทายร่วมกัน หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ ที่เรามีความเห็นไม่ตรงกันอย่างรุนแรง 

คำพูดของนายไบเดนดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองต่อการเรียกร้องของนาย อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ ซึ่งเตือนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า สหรัฐฯ กับจีนกำลังก้าวสู่ภาวะสงครามเย็นที่แตกต่างจากเมื่อครั้งอดีต และอาจอันตราย รวมทั้งจัดการยากกว่าเดิม และเป็นการเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมกันมือสร้างสันติ หลังจากสหรัฐฯ เพิ่งทำข้อตกลงสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์กับออสเตรเลีย จนทำให้ฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปไม่พอใจ  

นอกจากนี้ นายไบเดน ยังพูดกรณีการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งในและนอกประเทศว่า สหรัฐฯ ยุติช่วงเวลาสงครามอันทรหด เพื่อยุคใหม่ทางการทูต พร้อมกับย้ำให้คำมั่นสัญญาเรื่องงบประมาณเพื่อต่อสู้กับวิกฤติสภาพอากาศ โดยสหรัฐฯ จะเพิ่มงบสำหรับประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 11,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2567 หรือราว 1 ใน 10 ของเงินทั้งหมด 100,000 ล้านเหรียญฯ ที่ชาติพัฒนาแล้วประกาศจะมอบให้ชาติยากจนทุกปี เพื่อแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง 

ก่อนจบการแถลงในเวทีโลกครั้งแรก นายไบเดน ให้คำมั่นว่า “เราจะเป็นผู้นำในทุกความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ตั้งแต่โควิด-19 จนถึงสภาพอากาศ, เกียรติและสิทธิมนุษยชน แต่เราจะไม่ก้าวไปคนเดียว”