ไทยออยล์ ประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลก ยังอยู่ยืนอยู่ในระดับสูง

  • กรณีสงครามยูเครน-รัสเซีย ยุติราคาน้ำมัน 95-100 เหรียญฯ
  • หากยืดเยื้อทะลุ 110-115 เหรียญฯ
  • เตรียมขายหุ้น GPSC ให้ ปตท.

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์ประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกยังยืนตัวอยู่ในระดับสูง แต่จะไม่สูงเหมือนช่วงแรกที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนตึงตัวในช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หากการเจรจาสำเร็จได้ข้อยุติหยุดสู้รบ คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะย่อลงเล็กน้อย

“กรณีการสู้รบของ2ประเทศหากยุติลงหลังการเจรจา ร่วมกันแต่มาตรการการแทรกแซงจากประเทศต่างๆ ยังคงมีอยู่ จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ 95-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่หากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีข้อยุติ ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลขึ้นไป เพราะรัสเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่ยุโรปนำเข้า 30% เป็นความเสี่ยงสูงในระยะต่อไป”

ล่าสุดบริษัท จะทำการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาว เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการขยายธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยจะปรับลดสัดส่วนการลงทุนใน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออก ซึ่งจะขายให้บริษัทในกลุ่ม ปตท. ในไตรมาส 2ปีนี้คิดเป็นมูลค่ารวม 22,351 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้น (bridge loans) จากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจโอเลฟินและบริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวในงบกำไรขาดทุนของบริษัท

นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 275.12 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดอัตราส่วนระหว่างหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัท (Net Debt-to-Equity Ratio: D/E) ให้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เท่า และคงอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ คาดจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 3-4

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ทบทวนแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและบริบทของธุรกิจ พร้อมก้าวสู่องค์กร 100 ปีอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Building on Our Strong Foundation หรือการต่อยอดธุรกิจจากพื้นฐานด้านการกลั่นสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง กระจายผลิตภัณฑ์ตามที่ตลาดต้องการโดยเจาะลึกในตลาดภูมิภาคที่มีความต้องการสูง รวมถึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีความผันผวนต่ำและลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย

 “แผนงานดังกล่าวจะสอดคล้องกับเป้าหมายที่มีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% ธุรกิจปิโตรเคมี 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และธุรกิจใหม่อีก 10% ภายในปี 2573″