ไทยยูเนี่ยน Q3 ปี’66 สดใสกำไรฉลุย 1,200 ล้าน อาหารทะแช่แข็งตัวชูโรง ยอดขาย 1.1 หมื่นล้าน

  • ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป Q3 ปี’66 กำไรดี 1,200 ล้านบาท โต 17.2 % โชว์กำไรขั้นต้นพุ่ง 18.4%
  • อาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นทำยอดขาย 11,593 ล้านบาท ต่อยอดกลยุทธ์ยั่งยืน SeaChange® 2030

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “TU” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจไตรมาส 3 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 สามารถทำกำไรสุทธิ 1,206 ล้านบาท เติบโต 17.2 % และกำไรขั้นต้น 6,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4 % เป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบหลักปรับตัวลดลง การปรับรายการสินค้าโดยเน้นสินค้าทำกำไร แผนและมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถการทำกำไรให้บริษัทเริ่มใช้ประสบความสำเร็จดี สร้างยอดขายในไตรมาส 3 ได้ถึง 33,915 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยเพียง 0.9%

หากเปรียบเทียบผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 กับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนบริษัททำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์แต่ก็ยังจะปรับลดลง 16.8% รวมทั้งกำไรสุทธิลดลง 52.3% สาเหตุจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจากไอ-เทล คอร์ปอเรชั่นลดลงทำให้สัดส่วนหุ้นที่ไทยยูเนี่ยนถือครองลดลง แต่กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในไตรมาส 3 ยังแข็งแกร่งเติบโต 18.4%

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนยังคงรักษาระดับความสามารถการทำกำไรได้ดีต่อเนื่อง เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 3 ทำดีที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ทำธุรกิจมาจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงแผนและมาตรการเพิ่มความสามารถด้านการทำกำไรที่นำมาใช้ในทุกธุรกิจประสบผลสำเร็จได้ผลเป็นอย่างดี บริษัทยังคงมุ่งมั่นใช้กลยุทธ์เสริมสร้างความสามารถในการกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมธุรกิจไทยยูเนี่ยนยังแข็งแกร่ง ตามที่ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ระดับ A+

โดยภาพรวมไตรมาส 3 ปี 2566 ทำยอดขายสินค้าอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น 11,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.9% มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นต่อเนื่อง 12.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 9.6% จากการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดีผนวกกับกลยุทธ์ของบริษัทเรื่องปรับขนาดกลุ่มธุรกิจและมุ่งเน้นสินค้าที่ทำกำไร

ขณะที่ธุรกิจสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นแข็งแกร่งอยู่ที่ 28.9% ด้วยยอดขาย 2,698 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 19.4% บริษัทเน้นกลยุทธ์การขายสินค้าที่ทำกำไรได้มากกว่า จาก 2 ธุรกิจหลักได้แก่

“ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง” ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ไตรมาส 3 จึงทำยอดขายได้ 3,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1 % และมีกำไรขั้นต้น 19.4 % จากตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้ากลับเข้ามาและราคาขายปรับสูงขึ้น

“ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง” ไตรมาส 3 ทำยอดขายได้ 15,851 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 7.5% มีกำไรขั้นต้น 20.4%

ธีรพงศ์กล่าวตอท้ายว่า ท่ามกลางความท้าทายและภาวะเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอนนั้น ไทยยูเนี่ยนเชื่อในศักยภาพความมุ่งมั่นทำงานด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมจะเป็นกำลังสำคัญผลักดันธุรกิจก้าวไปข้างหน้า สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้เติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยน ตลอดไตรมาส 3 บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ต่อยอดจากกลยุทธ์เดียวกันเคยประกาศครั้งแรกเมื่อปี2559 แล้วขยายขอบเขตการทำงานสู่พันธกิจความยั่งยืนทั้งสิ้น 11 ข้อ ครอบคลุมการดูแลทั้งผู้คนและโลก สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทมุ่ง “ดูแลสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับทรัพยากรในท้องทะเล” ส่วนประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืนครั้งนี้ยังมีเป้าหมายภายในปี 2573 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลง 42% ภายในปี 2593 จะช่วยกันทำให้คาร์บอนเป็นศูนย์

เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen