

- คนไทยรายได้ลดลง หนี้นอกระบบจะเพิ่มขึ้น
- คนว่างงานมีแนวโน้มจะว่างงานระยะยาว
- ธุรกิจเอสเอ็มอีประคองตัวต่อไม่ไหว
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2564 ว่า สถานการณ์การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น มีผู้มีงานทำ 37.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.4% เป็นผลจากการขยายตัวของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ดูดซับแรงงานบางส่วนที่ถูกเลิกจ้างจากภาคเศรษฐกิจอื่นมาตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรม การจ้างงานปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.6% โดยสาขาการผลิตอุตสาหกรรมมีการจ้างงานลดลง 2.2 %อย่างไรก็ตาม มีบางอุตสาหกรรมที่ส่งออกสินค้าขยายตัว เช่น ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก อุปกรณ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ และการผลิตเครื่องอุปกรณ์การขนส่งอื่น ๆ ส่วนภาคบริการ การจ้างงานลดลง 0.7% โดยสาขาการขายส่ง/ขายปลีกลดลง 1% และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า ลดลง 0.4 % และสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารลดลง 0.2 %
อย่างไรก็ตาม ชั่วโมงการทำงานรวมอยู่ที่ 40.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 การทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 129.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 จากภาพรวมที่ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานลดลง สะท้อนการจ้างงานและการทำงานที่ไม่เต็มเวลา ซึ่งจะทำให้แรงงานมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ด้านการว่างงาน มี 760,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.96% สูงขึ้นอีกครั้งหลังจากชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563
“ชั่วโมงการทำงานที่ลดลงสะท้อนว่าแรงงานมีรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ว่างงานจากผลกระทบของ โควิด-19 มีแนวโน้มเป็นผู้ว่างงานระยะยาวมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ และทำให้ทักษะแรงงานลดลง โดยแรงงานในระบบที่ถูกเลิกจ้างจำนวนมากได้กลายเป็นแรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง และขาดหลักประกันทางสังคม”
เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ผลกระทบของกาแรพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ยืดเยื้อและมีความรุนแรงเป็นระยะ ๆ อาจทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย อาจส่งผลกระทบต่อ แรงงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ตกงานมากขึ้นหรือถูกลดชั่วโมงการทำงาน หากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็ว ธุรกิจฯ อาจไม่สามารถประคองตัวต่อไปได้ รวมถึงการเลิกจ้างแรงงาน และโอกาสการกลับมาฟื้นตัวอาจใช้เวลานานมากขึ้น และต้องหาทางแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคการท่องเที่ยวที่มีอยู่กว่า 7 ล้านคน อาจถูกเลิกจ้างมากขึ้น และต้องหาอาชีพใหม่ อีกทั้งการที่เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย จะทำให้ผู้ประกอบการเลื่อนการขยายตำแหน่งงานใหม่ออกไป กระทบกับการหางานของนักศึกษาจบใหม่ในปี 2564 ประมาณ 490,000 คน ขณะที่โครงการจ้างงานกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่และแรงงานคืนถิ่นภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ในปี 2563 ซึ่งมีระยะเวลาการจ้างงานประมาณ 12 เดือนกำลังจะสิ้นสุดลง อาจส่งผลกระทบต่อแรงงานภายใต้โครงการ 140,000 ตำแหน่ง
ส่วนทางด้านหนี้ครัวเรือนจากข้อมูลล่าสุดไตรมาสสี่ ปี 2563 มีมูลค่า 14.02 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9 %จาก 4% ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว แม้หนี้ครัวเรือนจะขยายตัวในอัตราที่ช้าลง สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนยังระมัดระวังในการก่อหนี้ ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนปรับตัวดีขึ้นแต่ยังต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน (สินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ) ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่แนวโน้มการก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 2564 คาดว่ายังอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และครัวเรือนต้องประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย ทำให้ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงต้องเฝ้าระวังการก่อหนี้นอกระบบโดยเฉพาะกับครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนมีรายได้ และสามารถรักษาระดับการบริโภคไว้ในระดับเดิม
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีการทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบไร้เงินสดมากขึ้น แต่ก็มีข้อพึงระวัง ที่อาจสูญเสียความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และก่อให้เกิดพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่ระมัดระวังจากความสะดวกรวดเร็วของการทำธุรกรรม รวมถึงนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงต่อการถูกหลอกและการสูญเสียทางการเงิน