โควิดยังคงพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง WHO เผย “โอมิครอน BA.2” ระบาดแล้ว 57 ประเทศ พบเชื้อแพร่เร็วกว่าพันธุ์ดั้งเดิม



วันนี้ (2 ก.พ.65) องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า พบการระบาดของเชื้อโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ใน57 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลวิจัยบางส่วนชี้ว่า สายพันธุ์ย่อยดังกล่าวอาจแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้นกว่าเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม

โดยองค์การอนามัยโลกระบุในรายงานอัปเดตสถานการณ์ด้านระบาดวิทยารายสัปดาห์ เมื่อวันที่ 25 ม.ค.65 ตามเวลาท้องถิ่นว่า พบการระบาดของเชื้อโอมิครอนเป็นสัดส่วนสูงกว่า 93% จากกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดในเดือนมกราคม และพบสายพันธุ์ย่อยของเชื้อโควิดโอมิครอน 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ย่อย BA.1, BA.1.1, BA.2 และ BA.3 ทั้งยังระบุว่า สายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.1.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบครั้งแรก ยังคงครองสัดส่วนการระบาดสูงกว่า 96% จากกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยติดเชื้อโอมิครอนทั้งหมดในระบบฐานข้อมูลกลางโควิดโลก (GISAID)

ทั้งนี้รายงานดังกล่าวยังระบุว่า พบตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.2 เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ที่แตกต่างไปจากเชื้อโอมิครอนดั้งเดิม เช่น หนามโปรตีนที่อยู่บนพื้นผิวของเชื้อไวรัสที่เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าสู่เซลล์ของมนุษย์ โดยพบการระบาดของเชื้อ BA.2 ใน 57 ประเทศแล้ว นอกจากนี้ ในบางประเทศยังพบการระบาดของเชื้อดังกล่าว เกินกว่าครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ย่อยโอมิครอนทั้งหมดรวมกัน

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยังด้วยระบุว่า ขณะนี้ยังมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความแตกต่างของเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย และเรียกร้องให้ทั่วโลกเร่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ ของเชื้อเหล่านี้ เช่น การแพร่กระจายการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน และความรุนแรง อย่างไรก็ดี มีผลวิจัยบางส่วนเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2 สามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วขึ้นกว่าเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม