

- ปี 64 หนี้พุ่ง 2 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่ม 30% จากปี 62
- เหตุค่าครองชีพสูง รายได้เสริมหด ก่อหนี้ใช้จ่ายประจำวัน
- ส่วนเงินสะพัดวันแรงงานเหลือแค่ 1.7 พันล้านต่ำสุดรอบ 10 ปี
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานภาพแรงงานไทยปี 64 จากกลุ่มตัวอย่างแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท จำนวน 1,256 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-22 เม.ย.64 ว่า จากการสอบถามภาระหนี้สินปี 64 เมื่อเทียบกับปี 62 ก่อนกับเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า ภาระหนี้ของครัวเรือนแรงงานไทยมีสูงถึง 205,809 บาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้น 29.56% จากปี 62 ที่มีภาระหนี้ 158,855 บาท หรือเมีภาระหนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีภาระผ่อนชำระ 8,024 บาท/เดือน

สำหรับสาเหตุการก่อหนี้มากขึ้นมาจากเพื่อใช้จ่ายทั่วไป เพราะรายจ่ามากกว่ารายรับ แม้ว่าเงินเดือนหรือค่าจ่ายไม่ได้ถูกปรับลดลงก็ตาม แต่ค่าครองชีพสูงขึ้นมาก รวมถึงจ่ายหนี้บัตรเครดิต หนี้ที่อยู่อาศัย ซื้อยานพาหนะ ค่ารักษาพยาบาล ลงทุน เป็นต้น

“ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น และรายได้เสริมที่ลดลง ทำให้แรงงานใช้จ่ายมากขึ้นสวนทางกับรายได้ ส่งผลให้มีการกู้หนี้เพิ่มขึ้น และเงินออมลดลง โดยกลุ่มที่ได้รับกระทบมากสุดจะอยู่ในกลุ่มหาเช้ากินค่ำ คนมีรายได้น้อย แรงงานภาคบริการท่องเที่ยว และคนกลุ่มนี้ ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างรายวัน มีโอกาสตกงานสูง ดังนั้น รัฐบาลควรจะมีมาตรการประคองการจ้างงานด้วยการจ่ายเงินเดือนให้ครึ่งหนึ่ง และนายจ้างอีกครึ่งหนึ่ง (โคเพย์) เพื่อช่วยภาคธุรกิจประคองการจ้างงาน ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก จนทำให้เศรษฐกิจซึม”

นอกจากนี้ แรงงานไทยยังกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทย และการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งหยุดการแพร่ระบาด เร่งฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง และกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา โดยโครงการของภาครัฐที่สามารถช่วยเหลือภาคครัวเรือนได้มากที่สุดในด้านการลดค่าครองชีพ คือ โครงการคนละครึ่ง รองลงมาโครงการเราชนะ และโครงการม.33 เรารักกัน
อย่างไรก็ตาม ยังได้สอบถามถึงการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดแรงงานปี 64 เทียบกับปี 62 เพราะในปี 63 ไม่ได้มีสำรวจการใช้จ่ายวันแรงงาน เพราะมีโควิด-19 ระบาด และรัฐงดจัดกิจกรรม ซึ่งพบว่า จะมีการใช้จ่ายรวม 1,793 ล้านบาท ลดลง 19.7% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 55 ที่มีมูลค่าใช้จ่าย 1,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5%

นายธนวรรธน์ กล่าวต่อถึงมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยว่า ประเมินว่าการใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดที่เข้มข้นมากขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์นี้ จะทำให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจหายไปประมาณวันละ 6,000 ล้านบาท หรือหายไปวันละ 30-40% จากเดิมที่คาดการณ์การควบคุมแบบไม่เข้มข้น เม็ดเงินหายไปประมาณ 3,000 ล้านบาท ดังนั้น ในช่วง 14 วันจะมีเม็ดเงินหายไปเป็น 80,000 ล้านบาท จาดเดิมคาดว่าหายไป 40,000 ล้านบาท

“ศูนย์ฯยังคงไม่ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เพราะคาดว่ารัฐบาลจะคุมสถานการณ์ได้ภายใน 3 เดือน หรือภายในเดือนมิ.ย. และน่าจะทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 300,000 ล้านบาท แต่หากลากยากเกินกว่านั้น เศรษฐกิจไทยจะเสียหายเพิ่มเติมเป็น 300,000-450,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะคุมอยู่ และหากมีการเร่งฉีดวัคซีนได้ทันตามแผน ประกอบกับ มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากวงเงิน 380,000 ล้านบาทออกมาได้ตามแผน จะทำให้เศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตได้ 2.5-3% แต่หากไม่มีเม็ดเงินอัดฉีดจะโต 1.2-1.8%”