โควิดพ่นพิษทำยอดขอหลักประกันทางธุรกิจลดฮวบ



  • ปี 63 ยื่นคำขอจดทะเบียนลด 36% มูลค่าลด 13% 
  • ทรัพย์สินทางปัญญา ที่ดิน ไม้ยืนต้นยื่นขดจดลดมากสุด 
  • แต่คาดหลังโควิดคลี่คลายแห่ยื่นขอจดเพิ่มขึ้นแน่นอน 

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 63 มีผู้นำสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจ มายื่นคำขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ 100,461 คำขอ มูลค่ารวม 1.487 ล้านล้านบาท โดยจำนวนคำขอลดลง 36,380 คำขอจากปี 62 ที่มีคำขอ 136,841 คำขอ หรือลดลง  36.21% และมูลค่าลดลง 221,000 ล้านบาท หรือลดลง 13% จากปี 62 ที่มีมูลค่า 1.708 ล้านล้านบาท  

สำหรับทรัพย์สินที่มีคำขอจดทะเบียนและมูลค่าลดลงสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ทรัพย์สินทางปัญญา มูลค่าลดลง 100% เพราะไม่มีการยื่นขอจดทะเบียนเลย จากปี 62 ที่ยื่นคำขอ 10 ล้านบาท ส่วนอันดับ 2 คือ ที่ดิน จดทะเบียน 1 ล้านบาท มูลค่าลดลง 270 ล้านบาท หรือ 99.63% จากปี 62 ที่จดทะเบียน 271 ล้านบาท และอันดับ 3 ไม้ยืนต้น จดทะเบียน 4 ล้านบาท ลดลง 125 ล้านบาท หรือ 97% จากปี 62 ที่จดทะเบียน 129 ล้านบาท  

 แต่ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร รถยนต์ เรือ สัตว์พาหนะ และสังหาริมทรัพย์อื่น มีผู้นำมาจดทะเบียนมากถึง 413,765 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135,193 ล้านบาท จากปี 62 ที่จดทะเบียน 278,572 ล้านบาท รวมถึงสิทธิเรียกร้อง ประเภทสิทธิการเช่า 77,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,714 ล้านบาท จากปี 62 ที่มี 54,440 ล้านบาท และลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย 391,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87,891 ล้านบาท จากปี 62 ที่มี 303,356 ล้านบาท 

“จำนวนคำขอและมูลค่ารวมที่ลดลง เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ทั้งผู้ให้หลักประกัน (ลูกหนี้) และผู้รับหลักประกัน (สถาบันการเงิน/เจ้าหนี้) ต่างระมัดระวังในการขอและปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาด ความสำเร็จของการฉีดวัคซีน สภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ประกอบการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ก่อนตัดสินใจลงทุน แต่คาดว่า ปี 64 หลังการแพร่ระบาดทุเลาเบาบางลง การนำทรัพย์สินประเภทต่างๆ มาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและกลับสู่ภาวะปกติ”  

นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ที่พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ มีผลบังคับใช้วันที่ 4 ก.ค.59 จนถึงวันที่ 15 มี.ค.64 มีผู้นำทรัพย์สินที่ใช้ในการทำธุรกิจ มายื่นคำขอจดทะเบียนหลักประกันทางุรกิจ หรือเป็นหลักประกันการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินแล้วรวม 588,791 คำขอ คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.395 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงความสำเร็จตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ต้องการให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) และรายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากขึ้น โดยนำทรัพย์สินที่ใช้ประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันการชำระหนี้ จากเดิมที่ผู้ประกอบธุรกิจ ไม่สามารถนำทรัพย์สินอื่น นอกจากอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีทะเบียนบางประเภทมาใช้เป็นหลักประกันเท่านั้น  

สำหรับประเภททรัพย์สิน ที่นำมาขอจดทะเบียนหลักประกันมากที่สุด คือ สิทธิเรียกร้อง เช่น สิทธิการเช่า สัดส่วน 76.84% ของทรัพย์สินที่นำมาใช้เป็นหลักประกันทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 7.219 ล้านล้านบาท รองลงมา คือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ เครื่องบิน สัตว์พาหนะ สัดส่วน 23.12% มูลค่า 2.172 ล้านล้านบาท, ทรัพย์สินทางปัญญา สัดส่วน 0.02% มูลค่า 1,985 ล้านบาท, กิจการ สัดส่วน 0.01% มูลค่า 1,107 ล้านบาท, อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ สัดส่วน 0.004% มูลค่า 397 ล้านบาท และไม้ยืนต้น สัดส่วน 0.001% มูลค่า 134 ล้านบาท