โควิดซัดคนไทยจนเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านคน รายได้ประเทศหาย 2 ล้านล้านบาท



  • ธปท.เผยนโยบายที่ดีสุด ตอนนี้ คือ จัดหาและกระจายวัคซีน
  • เปิดประมาณการเศรษฐกิจจากการฉีดวัคซีน
  • ธปท.-สศค.ยืนยันหนี้สาธารณะ/จีดีพี เกิน 60% ได้

คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.หรืออีอีซี) ได้จัดสัมมนาวิชาการ ประมาณการเศรษฐกิจระยะสั้นและภาพเศรษฐกิจไทย ใน 5 ปีข้างหน้า “EEC Macroeconomic Forum มีนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นผู้ดำเนินการ

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น ขณะที่อนาคตเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับการผนึกกำลังของ 4 นโยบาย คือ นโยบายการจัดหาและการกระจายวัคซีน นโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตาม การจัดหาและการกระจายวัคซีนเป็นนโยบายสำคัญที่สุด เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้เร็วที่สุดเป็นเงื่อนไขอันดับแรกของการฟื้นเศรษฐกิจไทย ซึ่งกรณีจัดหาและกระจายได้ 100 ล้านโดสภายในปีนี้จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในไทยได้เดือนม.ค.2565 จะทำให้เศรษฐกิจปี 2564 ขยายตัว 2% และปี 2565 ที่ 4.7% แต่ถ้าจัดหาและกระจายวัคซีนตามแผนเดิม 64.6 ล้านโดส จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่เดือนก.ย.2565 เศรษฐกิจปี 2564 ขยายตัว 1.5% และปี 2565 ที่ 2.8% แต่ถ้าช้ากว่านี้กว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ต้องรอถึง เดือนธ.ค. 2565 ทำให้เศรษฐกิจปี 2564 ขยายตัว 1% และปี 2565 ที่ 1.1%
ขณะเดียวกัน โควิด-19 ได้ซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เลวร้ายอยู่แล้ว ขณะนี้เกิดทางสองแพร่ง ว่าหนี้ครัวเรือนปัจจุบันที่ 14 ล้านล้านบาท หรือ 89.3%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)อาจจะขยายตัวถึง 18.1 ล้านล้านบาท หรือ 92.8% ของจีดีพี แต่ถ้ามีการปรับโครงสร้างหนี้ ตัดหนี้สูญและจำกัดการก่อหนี้จะลดลงมาได้ 2.7 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 15.4%ล้านล้านบาท หรือ 79.1%ของจีดีพี

ส่วนประเด็นหนี้สาธารณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 54.28%ของจีดีพี จะสามารถเกิน 60% ของจีดีพี ได้หรือไม่ และรัฐบาลกำลังจะออก พระราชกำหนดกู้เงินเพิ่มอีก 700,000 ล้านบาท นายดอน กล่าวว่า กรณีสถานการณรุนแรงและมีความจำเป็นก็เกินกว่า 60%จีดีพีได้ ยังต่ำกว่าหลายประเทศที่เกือบ 100%ของจีดีพี ซึ่งมีปัจจัยเอื้อจากอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกหลายปี ขณะที่นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวสนับสนุนว่า ทำได้เช่นกัน และไทยเคยมีหนี้สาธารณะ 59%ของจีดีพีในปี 2543 ที่ต้องฟื้นฟูประเทศหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 จากนั้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวหนี้สาธารณก็ต่ำลง ทั้งนี้ นายคณิศ ได้กล่าวเสริมด้วยว่า ไม่ต้องกังวลสถาบันจัดอันดับเครดิต จะปรับลดความน่าเชื่อถือไทยเพราะในหนี้สาธารณะทั้งหมดเป็นหนี้เงินตราต่างประเทศต่ำกว่า 2%
นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า ผลจากโควิด-19 ทำให้คนจนเพิ่มขึ้นทั่วโลก 115 ล้านคน และคนไทยจนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านคนจากฐานคนจนเดิม 4.3 ล้านคน ส่งให้ผลคนจนในไทยเพิ่มขึ้นรวม 5.8 ล้านคน เท่ากับจำนวนคนจนปี 2559 ซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนที่ปีละ 30,000 บาท


นายสุวิทย์ สรรพวิทยศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า โควิด-19 ทำให้รายได้ของประเทศ หายไปสูงถึง 2.2 ล้านล้าน โดยเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 จะขยายตัวต่ำกว่า 2% และน่ากังวลว่าหากเศรษฐกิจขยายตัวที่ 2-3%ต่อเนื่องหลายปีจะเก็บภาษีได้ไม่เพียงพอ ขณะที่อีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งตรงกับแผนพัฒนาประเทศ ฉบับที่ 13(2565-2569)ต้องทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวให้ได้ 4.5% จำเป็นต้องเกิดการลงทุนเพิ่มปีละ 600,000 ล้านบาท ซึ่งมีข้อจำกัดที่ภาครัฐไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีก จึงต้องหาแหล่งเงินอื่น เช่น สภาพคล่องส่วนเกินที่มีในระบบ การเร่งดึงเงินลงทุนจากภาคเอกชน และต่างประเทศ และดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ