แรงขายรอดูสถานการณ์ทำดัชนีดาวโจนส์ลบ 277 จุด



  • นักลงทุนขายหุ้นลดความเสี่ยง รอดูสถานการณ์
  • เฟดระบุไวรัสโคโรนาอาจจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐ
  • อัตราการว่างงานล่าสุดเดือน ม.ค.เพิ่มเป็น 3.6%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 7ก.พ.ที่ 29,102.51 จุด ลดลง 277.26 จุด หรือ -0.94%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,327.71 จุด ลดลง 18.07 จุด หรือ -0.54% ส่วนดัชนแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 9,520.51 จุด ลดลง 51.64 จุดหรือ -0.54%

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง4วันก่อนหน้า ก่อนที่จะปรับฐานในวันนี้ ส่งผลให่ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ บวก 3%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 3.2% และดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้น 4% ในรอบสัปดาห์

นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อย่างใกล้ชิด โดยมีแรงเทขายทำกำไร และถือเงินสดเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งรายงานนโยบายการเงินให้กับสภาคองเกรสสหรัฐซึ่งระบุว่า เฟดกำลังจับตาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

เฟดระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้สร้างความเสี่ยงครั้งใหม่ให้กับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ แม้รายงานระยะนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนและยุโรปเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นก็ตาม แต่การระบาดของเชื้อไวรัสอาจทำให้เกิดภาวะชะงักงันในจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ ของโลก

ขณะเดียวกัน เฟดยังระบุว่าโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเหมาะสม ขณะที่ความเสี่ยงในช่วงขาลงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และ แนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้าได้ลดลงอย่างชัดเจนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เน้นย้ำว่าแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจ และความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจตามที่บ่งชี้จากข้อมูลที่เฟดได้รับ

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความระบุว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และแสดงความเชื่อมั่นว่า จีนจะสามารถประสบชัยชนะในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

หุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง โดยกลุ่มวัสดุและกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลงมากที่สุด โดยหุ้นในภาคการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจโลกร่วงลง อาทิ หุ้นแคเทอร์พิลลาร์ ร่วง 2.79% และหุ้นโบอิ้ง ลบ 1.37%

หุ้นอีเบย์ร่วง 4.74% หลังบริษัทอินเตอร์คอนติเนนตัล เอ็กซ์เชนจ์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ได้ยกเลิกแผนซื้อกิจการอีเบย์ ขณะที่หุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล เอ็กซ์เชนจ์ พุ่งขึ้น 2.8%

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยขณะนี้ บริษัทมากกว่า 300 แห่งในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 4 ออกมาแล้ว ซึ่ง 71.3% ในจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ประกาศออกมาล่าสุด กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร พุ่งขึ้น 225,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 158,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% ในเดือนม.ค. จากระดับ 3.5% ในเดือนธ.ค.