แนะปรับบทบาท”ตม.”จากจับ”อาชญา กร ข้ามชาติ”เป็น”นักเฝ้าระวังโรค ข้ามชาติ”

  • สส.ประชาธิปัตย์ เสนอ ตม.ปรับวิธีการทำงาน
  • ตม. ต้องทำงานเชิงรุก
  • ห่วงชาวอู่ฮั่นตกค้าง แนะควรมีการติดตามดูแล

น.ส.พิมพ์ระพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวกล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำได้ดีมาก แต่มีประเด็นที่อยากเสนอแนะ ซึ่งจะทำให้การรับมือกับโรคระบาดข้ามชาติ ไม่ใช่เฉพาะกรณีไวรัสโคโรน่าเท่านั้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการปรับบทบาทของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่ในปัจจุบันจะมุ่งเน้นในเรื่องของ “อาชญากรข้ามชาติ” มาเป็นการเฝ้าระวัง “โรคข้ามชาติ” ในเชิงรุก คือแทนที่จะเน้นในเรื่องการตรวจบุคคลที่เดินทางจากประเทศต้นทางของการแพร่ระบาด ณ บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)เพียงอย่างเดียว มาเป็นการใช้ข้อมูลที่ตม.มีให้เป็นประโยชน์ ในการติดตามเฝ้าระวังต่อเนื่องขณะที่คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพราะการคัดกรองบริเวณด่านตรวจ ไม่สามารถทำได้ 100% เนื่องจากอาจมีการกินยาแก้ไข้กดอาการ ทำให้ไม่พบปัญหา จึงควรมีการใช้ข้อมูลของ ตม. ให้เกิดประโยชน์ในการเฝ้าระวังต่อเนื่อง เพราะ ตม. ถือเป็นคลังข้อมูลเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย โดยทุกสถานประกอบการด้านที่พักอาศัย จะต้องรายงานต่อที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในเขตพื้นที่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ตามแบบตม. 30 ทันทีที่มีชาวต่างชาติเข้าพักอาศัย ทั้งนี้ได้เตรียมที่จะนำเรื่องนี้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า เพื่อหามาตรการในการแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย
 
” ในกรณี ไวรัสโคโรน่าทราบต้นทางชัดเจนว่ามาจากเมืองอู่ฮั่นซึ่งตมมีข้อมูลตั้งแต่ต้นทางว่า มีใครเดินทางมาจากอู่ฮั่นบ้าง ก็ควรแยกรายชื่อไว้เป็นการเฉพาะเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ เมื่อโรงแรมหรือสถานประกอบการส่งรายชื่อชาวต่างชาติไปให้ ตม. สามารถจับคู่ได้ทันทีว่าคนที่ผ่านด่านตม.ไปแล้วกระจายไปพักอาศัยอยู่ที่ไหน เมื่อ ได้ข้อมูลแล้วก็แจ้งกลับไปยังโรงแรมต้นทางให้เฝ้าระวังสังเกตอาการรวมถึงแจ้งไปยังสาธารณสุขในพื้นที่ให้รับทราบ ข้อมูลเหล่านี้ จะได้จัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ต้องปรับบทบาทมาเป็นนักเฝ้าระวังโรคข้ามชาติในเชิงรุกแทนที่จะ ตั้งด่านสกัดเพียงอย่างเดียวซึ่งไม่เพียงพอ”

ขณะที่ประเทศจีนได้ปิดเมืองอู่ฮั่นแล้ว ทางการไทยต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่ายังมีชาวจีนจากอู่ฮั่นตกค้างในไทยจำนวนเท่าใด ในจำนวนเหล่านั้นมีใครต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสนี้หรือไม่ และจะมีการดูแลคนเหล่านี้ระหว่างที่พวกเขายังกลับบ้านเกิดไม่ได้อย่างไร ก็เป็นอีกภารกิจสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน.