“แก๊งทุจริตถุงมือยาง” แสนล้านปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา



  • หลังคกก.สืบข้อเท็จจริงอคส.แจ้งแล้ว 3 ข้อกล่าวหา 
  • จากนี้มีเวลาอุทธรณ์ใน 15 วันแต่เชื่อแก้ข้อกล่าวหาไม่ได้แน่ 
  • ย้ำทั้ง 3 รายมีโทษหนักทั้งอาญา แพ่ง วินัย รับผิดทางละเมิด 

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีการจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท ที่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. และพวก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ อคส. ระดับบริหาร 8 อีก 2 ราย ได้ร่วมกันจัดซื้อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 มี.ค.64 ได้เชิญผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ราย มารับฟังข้อกล่าวหา แต่มาเพียง 1 ราย คือ นายเกียรติขจร แซ่ไต่ และได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา และจะขอชี้แจงภายใน 15 วันตามสิทธิ์ ส่วนอีก 2 ราย คือ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ และนายมูรธาธร คำบุศย์ ไม่มารับฟังข้อกล่าวหา โดยนายมูรธาธร อ้างว่า ไปหาหมอ ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงจะส่งข้อกล่าวหาไปทางไปรษณีย์ต่อไป 

“คณะกรรมการฯได้พิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว พบว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 รายมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย และได้แจ้งเรื่องที่ถูกกล่าวหาให้ทราบรวม 3 ข้อกล่าวหา คือ 1.ไม่รักษาและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอันเกี่ยวกับองค์การ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คู่มือการปฏิบัติงานขององค์การ และมติคณะกรรมการอันเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรง 2.ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่การงานโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ และ3.ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อาศัยตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม แสวงหาประโยชน์มิควรได้แก่ตนเอง หรือแก่ผู้อื่น หรือช่วยเหลือผู้อื่นในทางที่จะทำให้เสียประโยชน์ขององค์กร ซึ่งข้อกล่าวหาทั้งหมด ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง ตามระเบียบองค์การคลังสินค้าว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยพ.ศ.2561” 

โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ทั้ง 3 ราย จะมีเวลา 15 วันในการแก้ข้อกล่าวหา เมื่อครบ 15 วันแล้ว คณะกรรมการฯจะนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ทั้ง 3 รายได้แก้ข้อกล่าวหามาพิจารณา ถ้าไม่สามารถหักล้างได้ ก็จะเสนอให้นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการอคส.ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดคือ คณะกรรมการตรวจสอบทางวินัย เพื่อลงโทษทางวินัย ซึ่งความผิดวินัยร้ายแรง จะมีโทษคือ ให้ออก และไล่ออก

ส่วนอีก 1 ชุด คือ คณะกรรมการความรับผิดทางละเมิด ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อพิจารณามูลค่าความเสียหายที่ทั้ง 3 รายทำให้เกิดขึ้นกับอคส. และจะต้องชดใช้ให้อคส. โดยเมื่อพิจารณามูลค่าความเสียหายได้แล้ว จะส่งเรื่องไปให้กระทรวงการคลังยืนยันความเสียหาย จากนั้นกระทรวงการคลังจะส่งกลับมาให้อคส.เพื่อพิจารณาส่งฟ้องร้องให้ชดใช้ความเสียหายให้กับอคส. 

สำหรับการกระทำของทั้ง 3 ราย ที่คณะกรรมการฯพิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง คือ อนุมัติจัดซื้อถุงมือยางและจ่ายเงินโดยไม่มีอำนาจ ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของอคส.ว่าด้วยการค้าข้าว พืชผล และสินค้าต่างๆ เพื่อการค้าปกติพ.ศ.2526 ซึ่งกำหนดว่า การอนุมัติซื้อสินค้าวงเงินเกิน 50 ล้านบาทให้เป็นมติของคณะกรรมการอคส. (บอร์ดอคส.) แต่พ.ต.อ.รุ่งโรจน์กลับไม่เสนอให้บอร์ดพิจารณา ส่วนในการทำสัญญาซื้อและขาย ก็เป็นไปโดยมิชอบ คือ สัญญาไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากอัยการสูงสุด และไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบของอคส.ว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้าปกติพ.ศ.2561 เพราะไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการ ไม่ได้ประกาศอย่างเปิดเผย ไม่ได้จัดทำรายงานตามระเบียบฯ 

นอกจากนี้ การจัดทำสัญญายังมีลักษณะเป็นการสมคบกันเพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชน และเป็นการทำให้รัฐเสียเปรียบ โดยสัญญาซื้อ ที่อคส.ทำกับบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ผู้ผลิตถุงมือยางนั้น กำหนดให้รัฐจ่ายเงินมัดจำก่อนที่จะให้เอกชนวางหลักค้ำประกันตามสัญญา ทั้งที่เงินมัดจำดังกล่าวเป็นจำนวนมากถึง 2,000 ล้านบาท ส่วนสัญญาขาย ที่อคส.ทำกับเอกชน 7 ราย ที่มาซื้อถุงมือยางจากอคส.นั้น เป็นการขายที่เล็งเห็นได้ว่ารัฐขาดทุน   

พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวต่อว่า ทั้ง 3 ราย นอกจากจะมีความผิดทางวินัย และชดใช้ความเสียหายให้กับอคส.จากความรับผิดทางละเมิดแล้ว ยังจะมีความทางคดีอาญาด้วย โดยขณะนี้ รอผลการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่คาดจะสรุปผลและชี้มูลความผิดเร็วๆ นี้ เมื่อป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดส่งฟ้องคดีอาญา 

ขณะเดียวกัน อคส.ก็จะฟ้องร้องคดีแพ่งที่เกี่ยวกับคดีอาญา ตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ด้วย ส่วนกรณีของนายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการ บอร์ดอคส. ที่คณะกรรมการฯสอบถามกรณีถูกพาดพิงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อครั้งนี้นั้น จะทำข้อมูลชี้แจงมาให้คณะกรรมการฯภายในวันที่ 5 มี.ค.นี้ ส่วนจะมีความผิดด้วยหรือไม่ ต้องรอผลการไต่สวนของป.ป.ช. เพราะคณะกรรมการฯมีอำนาจหน้าที่แต่เพียงตั้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่อคส. ทั้ง 3 รายเท่านั้น