

- พร้อมปักธงโรงพยาบาลเชื่อมฐานข้อมูล
- สนับสนุนทำบิ๊กดาต้าข้อมูลเกี่ยวกับระบบการแพทย์ข้อมูลการแพ้ยาและข้อมูลสุขภาพ
- หวังรักษาผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น
- พัฒนานวัตกรรมการแพทย์สมัยใหม่ ขยายผลสู่เชิงพาณิชย์
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดเผยว่า NIA ได้ลงนามความร่วมมือกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และโรงพยาบาลในเครือพญาไท–เปาโล เพื่อยกระดับย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (Yothi Medical Innovation district : YMID) ให้เป็นย่านนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีโรงพยาบาลในเครือเอกชน เข้ามาร่วมพัฒนาย่านนวัตกรรมโยธี
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมการแพทย์ การคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ โดยมีเป้าหมายในการยกระดับความรู้ความสามารถของบุคลากร ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพการวิจัย และผลักดันให้เกิดนวัตกรรมทางการแพทย์ และสุขภาพที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน นับเป็นการวางรากฐานและสร้างต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ของไทยให้มีศักยภาพที่เข้มแข็งทัดเทียมกับการแข่งขันระดับโลก โดยจะมุ่งเน้นความร่วมมือใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่

1.การส่งเสริมให้เกิดศักยภาพการในการบริการที่มีนวัตกรรมของโรงพยาบาลภายในย่านโยธีจากความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งด้านการวิจัย และการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
2.การร่วมกันพัฒนา DeepTech Startup ทางด้านชีวการแพทย์ และเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกผ่านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูล(DATA) ซึ่งทั้งปัจจุบันและในอนาคต นวัตกรรมเหล่านี้จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในวงการการแพทย์
3.การร่วมสร้างองค์กรนวัตกรรม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมผ่านการดึงเอาสตาร์ทอัพ กลุ่มวิจัยต่าง ๆ เข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างให้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีเป็นย่านนวัตกรรมที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4.การร่วมมือพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ด้วยการผลักดันให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพ นักวิจัย รวมถึงธุรกิจเอกชน ซึ่งจะช่วยให้มีการเรียนรูปแบบการทำงาน รูปแบบธุรกิจ (Business Model) และแนวคิดต่าง ๆ ระหว่างกัน ส่งผลให้การทำงานเกิดการนำสิ่งแปลกใหม่มาประยุกต์ และเกิดเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะ 5 ปีแรก จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมและการวิจัยที่มีศักยภาพสูง สอดคล้องกับมาตรการและนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ ระยะ 10 ปี จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเชิงกายภาพให้กับพื้นที่เพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนา และทดลองนวัตกรรม และการสร้างโครงข่ายสัญจรเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานภายในพื้นที่อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ และระยะ 20 ปี จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเชิงกายภาพรองรับและสนับสนุน

ด้าน ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) กล่าวว่า สิ่งที่อยากเห็นหลังจากการร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงานคือ การเชื่อมโยงข้อมูลของโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี และการรวบรวมข้อมูลในด้านการรักษาสุขภาพ (Health Care ) ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับระบบการแพทย์ เช่น ข้อมูลการแพ้ยา หรือข้อมูลสุขภาพต่างๆ เพื่อช่วยให้การรักษาผู้ป่วยทำได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้งาน
ทั้งนี้ในอนาคตนวัตกรรมด้านสุขภาพจะมีบทบาท และมีแนวโน้มการเติบโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทีเซลส์พร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ในย่านโยธีให้มีประสิทธิภาพ และเป็นพื้นที่ที่ครบครันสำหรับให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ นอกจากนี้ ยังมีโครงการวิจัยใหม่ ๆ เพื่อสร้างความรู้และนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยหุ่นยนต์ทางการแพทย์ การพัฒนาระบบ AI ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพรยาแผนโบราณ รวมถึงงานวิจัยและพัฒนาทางด้านการแพทย์แม่นยำบนฐานของรหัสพันธุกรรมมนุษย์ หรือ Genomics ทั้งนี้เชื่อว่าหากภาคเอกชนมีความเข้มแข็งก็จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศเติบโตและยั่งยืน และส่งต่อสิ่งดี ๆ สู่ผู้บริโภคในลำดับต่อไป

ด้านนายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล กล่าว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติถึงคุณภาพการจัดการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน และมีข้อได้เปรียบจากอัตราค่าบริการรักษาพยาบาลเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานยังถือว่าถูกกว่าประเทศอื่นมาก อีกทั้งภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนการเติบโตของการแพทย์ไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จึงทำให้ผู้ป่วยชาวต่างชาตินิยมเดินทางมารักษาตัวในประเทศไทยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างของทั้ง 3 ภาคีนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่สถาบันและหน่วยงานทางการแพทย์และสุขภาพของภาคเอกชนและภาครัฐจะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนวงการแพทย์และสุขภาพ ภายใน“ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี” ให้เป็นพื้นที่นวัตกรรมทางการแพทย์สมัยใหม่สู่การเป็นศูนย์กลางการรักษาและการพัฒนานวัตกรรมสุขภาพต้นแบบของประเทศ และเป็นพื้นที่นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต โดยเครือโรงพยาบาลพญาไท–เปาโล จะมีบทบาทสำคัญในการเตรียมนำองค์ความรู้และความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์ บุคลากรชั้นนำ เพื่อพัฒนาและสนับสนุนนักวิจัย และยกระดับขีดความสามารถบุคลากรสู่ความเป็นนวัตกรชั้นนำทางด้านพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่ที่สามารถขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ได้ โดยเตรียมสร้างหลักสูตรในเรื่องของ Medical Knowledge เพื่อพัฒนาและผลิตนวัตกรคุณภาพสู่วงการแพทย์ไทย ที่มีศักยภาพการแข่งขันรองรับการก้าวสู่การเป็นผู้นำทางการแพทย์และสุขภาพของประเทศไทยในอนาคต